ย้อนอดีตนัดชิงลีกคัพ 12 ครั้ง ของลิเวอร์พูล

ย้อนอดีตนัดชิงลีกคัพ 12 ครั้ง ของลิเวอร์พูล

ขณะที่ “ลิเวอร์พูล” เตรียมพบกับ “เชลซี” ในลีกคัพนัดชิงชนะเลิศ เราจะพาทุกท่านย้อนรอยความทรงจำ และรำลึกถึงความสำเร็จ รวมถึงความล้มเหลวในอดีตของพวกเขา

“ลิเวอร์พูล” กลับมาสู่รอบชิงชนะเลิศอีกครั้งในสุดสัปดาห์นี้ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี

นักเตะของ “เจอร์เก้น คล็อปป์” เป็นทีมเต็งที่จะชูถ้วยรางวัลในบ่ายวันอาทิตย์ ที่เวมบลีย์




นี่คือการลงเล่นครั้งที่ 13 ของ “ลิเวอร์พูล” ในลีกคัพนัดชิงชนะเลิศ ซึ่งเราจะมองย้อนกลับไปว่าพวกเขาเป็นอย่างไรบ้างใน 12 เกมก่อนหน้า

a

1978

ลิเวอร์พูล 0-1 น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ (แข่งใหม่)

หลังจากการเสมอกันแบบไร้สกอร์ในการพบกันครั้งแรก “ลิเวอร์พูล” ก็พ่ายแพ้ต่อ “น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์” ในตำนานของ “ไบรอัน คลัฟ” ในการรีเพลย์

ย้อนกลับไปในทศวรรษที่ 1970 การต่อเวลาพิเศษและดวลลูกจุดโทษยังไม่เกิดขึ้น




การพบกันครั้งที่ 2 ตัดสินโดยลูกจุดโทษของ “จอห์น โรเบิร์ตสัน” ในช่วงต้นครึ่งหลัง อย่างไรก็ตาม “ลิเวอร์พูล” สามารถคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพในอีกสามเดือนต่อมา

เป็นการปลอบใจที่ไม่เลวนะ!!!

a

1981

ลิเวอร์พูล 2-1 เวสต์แฮม (แข่งใหม่)

นี่คือช่วงเวลาที่การครอบงำของ “ลิเวอร์พูล” ในลีกคัพเริ่มต้นขึ้นอย่างแท้จริง

“ลิเวอร์พูล” และ “เวสต์แฮม” ต้องพบกันอีกครั้งที่สนามวิลล่าพาร์ค หลังจากผลเสมอ 1-1 ที่เวมบลีย์

หลังจากตามหลังด้วยประตูขึ้นนำของ “พอล ก็อดดาร์ด” ทีมของ “บ็อบ เพสลีย์” ก็สามารถพลิกเกมได้สำเร็จด้วยลูกตีเสมอของ “เคนนี่ ดัลกลิช” และประตูชัยจาก “อลัน แฮนเซ่น”

นั่นเป็นหนึ่งในเพียง 14 ลูกจากตำนานเซ็นเตอร์แบ็คที่ลงเล่นให้ “ลิเวอร์พูล” มากถึง 620 เกม

a

1982

ลิเวอร์พูล 3-1 สเปอร์ส

12 เดือนต่อมา ลูกทีมของ “เพสลีย์” กลับมาอีกครั้ง ในช่วงเวลาที่ “ลิเวอร์พูล” สามารถกวาดถ้วยรางวัลเข้าตู้โชว์ได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์

แต่ดูเหมือนงานของ “ลิเวอร์พูล” จะไม่ง่ายนัก เมื่อ “สตีฟ อาร์ชิบัลด์” ทำประตูขึ้นนำให้ “สเปอร์ส” ตั้งแต่ต้นเกม

“รอนนี่ วีแลน” ทำประตูตีเสมอได้สำเร็จในนาทีที่ 87 และจากจุดนั้น แชมป์ยุโรป ณ เวลานั้นก็แสดงความเหนือกว่าออกมา

“วีแลน” คนเดิมยิงประตูขึ้นนำในช่วงต่อเวลาพิเศษ ก่อนที่ “เอียน รัช” จะทำประตูเพิ่มอีก 1 ลูกย้ำชัยชนะอย่างเด็ดขาดให้แก่ “ลิเวอร์พูล”

a

1983

ลิเวอร์พูล 2-1 แมนฯ ยูไนเต็ด

ไม่มีอะไรที่จะเยี่ยมยอดไปกว่าการเอาชนะ “แมนฯ ยูไนเต็ด” ในเกมนัดชิงชนะเลิศ และ “ลิเวอร์พูล” ก็ทำแบบนั้นได้ในปี 1983 โดยคว้าแชมป์ลีกคัพสมัยที่ 3 ติดต่อกัน

น่าประหลาดใจที่กลายเป็น “แมนฯ ยูไนเต็ด” ที่ทำประตูขึ้นนำไปก่อนโดย “นอร์แมน ไวท์ไซด์” ไม่ง่ายเสียแล้วสำหรับ “ลิเวอร์พูล”

แต่ในที่สุด “อลัน เคนเนดี้” ก็ยิงตีเสมอได้สำเร็จจากลูกยิงไกล ก่อนที่ “วีแลน” จะปั่นลูกโค้งเป็นประตูชัยอย่างสวยงามในช่วงต่อเวลาพิเศษ

a

1984

ลิเวอร์พูล 1-0 เอฟเวอร์ตัน (แข่งใหม่)

หลังจากได้สร้างความเจ็บปวดให้แก่ “แมนฯ ยูไนเต็ด” ในนัดชิงชนะเลิศ ก็ถึงเวลาที่จะเอาชนะคู่แข่งร่วมเมืองอย่าง “เอฟเวอร์ตัน” ในอีกหนึ่งปีต่อมา

หลังจากเสมอกันแบบไร้สกอร์ในนัดแรก “แกรม ซูเนสส์” ก็พา “ลิเวอร์พูล” คว้าแชมป์ลีกคัพเป็นสมัยที่ 4 ติดต่อกัน

ตำนานชาวสก็อตเป็นทั้งผู้นำและนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ ได้ตะบันประตูชัยจากระยะไกลที่เมนโร้ด ทำให้เมอร์ซี่ย์ไซด์กลายเป็นสีแดงอยู่ระยะเวลาหนึ่ง

ผู้เล่นชั้นยอดมักจะสร้างผลงานในช่วงเวลาอันสำคัญ และ “ซูเนสส์” ก็เป็นเช่นนั้น

a

1987

ลิเวอร์พูล 1-2 อาร์เซน่อล

หลังจากหลายปีแห่งความรุ่งโรจน์ นัดชิงชนะเลิศในปี 1987 กลายเป็นช่วงเวลาที่ไม่น่าจดจำสำหรับ “ลิเวอร์พูล” ซึ่งนำโดย “เคนนี่ ดัลกลิช”

มันเป็นวันของ “อาร์เซน่อล” ท่ามกลางแสงแดด เมื่อพวกเขาตอบโต้ประตูขึ้นนำจาก “เอียน รัช” ด้วยสองประตูจาก “ชาร์ลี นิโคลัส”

น่าแปลกที่เขามีข่าวเชื่อมโยงว่าจะย้ายไปแอนฟิลด์อย่างหนัก ก่อนที่จะย้ายไปร่วมทีม “ปืนใหญ่” โดยบางคนคิดว่าเขาจะมาแทน “เคนนี่ ดัลกลิช” ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ประสบความสำเร็จอย่างที่หลายคนคาดหวัง

a

1995

ลิเวอร์พูล 2-1 โบลตัน

ทศวรรษที่ 1990 นับเป็นช่วงเวลาที่มืดมนในประวัติศาสตร์ของ “ลิเวอร์พูล” โดยวัดจากข้อเท็จจริงที่ว่า การคว้าแชมป์ลีกคัพในปี 1995 เป็นความสำเร็จที่ดีที่สุดที่พวกเขาพอจะไขว่คว้าได้ในช่วงเวลาดังกล่าว

ลูกทีมของ “รอย อีแวนส์” เฉือนเอาชนะ “โบลตัน” จากดิวิชั่น 1 ได้สำเร็จ โดยต้องขอบคุณผู้หนึ่งเป็นพิเศษ

“สตีฟ แม็คมานามาน” คือผู้นั้น เขามีพรสวรรค์สูงในการบุกจู่โจมอย่างน่าอัศจรรย์ โดยเขาทำสองประตูด้วยตัวคนเดียวทั้งๆ ที่เล่นเป็นมิดฟิลด์

เขายังคงเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ถูกประเมินค่าต่ำที่สุดในรอบหลายทศวรรษ

a

2001

ลิเวอร์พูล 1-1 เบอร์มิ่งแฮม (ดวลจุดโทษ 5-4)

2000/01 เป็นหนึ่งในฤดูกาลที่ยอดเยี่ยมที่สุดของ “ลิเวอร์พูล” โดยการคว้าถึง 3 ถ้วย ซึ่งรวมถึงแชมเปี้ยนส์ลีกเป็นครั้งแรกของสโมสรอีกด้วย

ทุกอย่างเริ่มต้นจากการดวลจุดโทษเหนือ “เบอร์มิ่งแฮม” ซึ่งเป็นนัดชิงชนะเลิศที่จัดขึ้น ณ สนามมิลเลนเนียมอันงดงามของ “คาร์ดิฟฟ์”

“ลิเวอร์พูล” นำไปก่อนจากลูกยิงอันสวยงามของ “ร็อบบี้ ฟาวเลอร์” แต่ถูกตีเสมอจากลูกจุดโทษของ “ดาร์เรน เพิร์ส” แต่พวกเขาก็ได้รับชัยชนะในท้ายที่สุด

จุดโทษที่สมบูรณ์แบบของ “เจมี่ คาร์ราเกอร์” ทำให้ “แอนดี้ จอห์นสัน” ต้องยิงให้เข้าเท่านั้น แต่ “แซนเดอร์ เวสเตอร์เวลด์” เซฟลูกยิงของเขาไว้ได้

a

2003

ลิเวอร์พูล 2-0 แมนฯ ยูไนเต็ด

20 ปีต่อมา นับตั้งแต่ชัยชนะเหนือ “ยูไนเต็ด” ในปี 1983 “ลิเวอร์พูล” ก็กลับมาคว้าชัยชนะได้อีกครั้ง

ทีมของ “อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน” เป็นทีมเต็ง แต่ทีมของ “เชราร์ด อุลลิเยร์” มีสถิติอันแข็งแกร่งในการพบกับพวกเขาในช่วงเวลานั้น

ในความเป็นจริง “แมนฯ ยูไนเต็ด” ครองเกมได้เหนือกว่า แต่ประตูของ “สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด” และ “ไมเคิล โอเว่น” ก็ทำให้ “ลิเวอร์พูล” คว้าชัยชนะในท้ายที่สุด

ภาพของ “รอย คีน” ที่วิ่งไล่ตามและพุ่งเข้าใส่ “โอเว่น” อย่างสิ้นหวังและไร้ประโยชน์ ยังคงติดตามาจนถึงทุกวันนี้

a

2005

เชลซี 3-2 ลิเวอร์พูล

การแข่งขันระหว่าง “ลิเวอร์พูล” และ “เชลซี” ในช่วงกลางทศวรรษ 2000 คือคำจำกัดความของความเข้มข้น เกมนี้จุดประกายให้เกิดหลายสิ่งๆ ตามมา

มันเป็นช่วงบ่ายที่น่าหดหู่สำหรับ “ลิเวอร์พูล” ที่ขึ้นนำในนาทีแรกด้วยประตูของ “จอห์น อาร์เน่ รีเซ่” แต่ในที่สุดต้องพ่ายแพ้ 3-2 หลังจากช่วงต่อเวลาพิเศษ

การทำเข้าประตูตัวเองของ “เจอร์ราร์ด” และสิ่งอื่นๆ มันเป็นประสบการณ์อันน่าเจ็บปวด

ดีหน่อยที่ “ลิเวอร์พูล” สามารถเข้าถึงรอบรอบชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ลีกในอีกสองเดือนต่อมา

a

2012

ลิเวอร์พูล 2-2 คาร์ดิฟฟ์ (ดวลจุดโทษ 3-2)

มันช่างน่าหวั่นวิตก เป็นเวลา 10 ปีแล้วที่ “ลิเวอร์พูล” ไม่ได้สัมผัสถ้วยแชมป์ใดๆ ในประเทศเลย

ชัยชนะเหนือ “คาร์ดิฟฟ์” ในปี 2012 ทำให้ทีมของ “ดัลกลิช” ก้าวข้ามเส้นดังกล่าวไปได้สำเร็จ

a

2016

ลิเวอร์พูล 1-1 แมนฯ ซิตี้ (ดวลจุดโทษ 1-3)

นัดชิงชนะเลิศลีกคัพของ “ลิเวอร์พูล” กลับมาอีกครั้งในปี 2016 ซึ่งเป็นครั้งล่าสุด แต่คราวนี้การดวลจุดโทษไม่เอื้ออำนวยกับพวกเขา

การแข่งขันกับ “แมนฯ ซิตี้” ในช่วงเวลานั้นไม่เหมือนกับสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน แต่ก็นับเป็นการเผชิญหน้าอันน่าตื่นเต้นที่เวมบลีย์

“เฟอร์นันดินโญ่” ฉกฉวยโอกาสจากความผิดพลาดของ “ไซม่อน มิโญ่เล่ต์” กลายเป็นประตูขึ้นนำของ “แมนฯ ซิตี้” แต่หลังจากนั้น “ฟิลิปเป้ คูตินโญ่” ทำประตูตีเสมอให้ “ลิเวอร์พูล” ได้สำเร็จ ทำให้ต้องต่อเวลาพิเศษและดวลจุดโทษ

“ลิเวอร์พูล” มิได้พกดวงมาแม้แต่น้อยในการดวลจุดโทษ โดยมี “เอ็มเร่ ชาน” คนเดียวที่ยิงเข้าไป ส่วน “ลูคัส เลวา, คูตินโญ่ และลัลลาน่า” ล้วนยิงพลาดทั้งหมด




คุณอาจสนใจ :

ข้อมูลนักเตะลิเวอร์พูล
ตำนานสนามแอนฟิลด์
ประวัติสโมสรลิเวอร์พูล
ทำเนียบแชมป์
ตำนานนักเตะลิเวอร์พูล

a

Our References :

liverpoolfc.com

liverpoolecho.co.uk

thisisanfield.com

a

 1,144 total views,  1 views today

5 1 vote
Article Rating
Subscribe
Notify of
guest
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด