จาก “ประตูผี” ของ “การ์เซีย” สู่เกมพลิกนรกกับ “บาร์ซ่า”⁣⁣

จาก “ประตูผี” ของ “การ์เซีย” สู่เกมพลิกนรกกับ “บาร์ซ่า”⁣⁣
ย้อนไปชมรอบรองชนะเลิศ “แชมเปี้ยนส์ลีก” ทั้ง 5 ครั้ง ของ “ลิเวอร์พูล”⁣⁣
⁣⁣
“ลิเวอร์พูล” กำลังอยู่ในสมรภูมิรอบรองชนะเลิศ “แชมเปี้ยนส์ลีก” ครั้งที่ 6 ของพวกเขา พวกเขาทำได้ดีแค่ไหนใน 5 ครั้งก่อนหน้านี้?⁣⁣
⁣⁣
รอบรองชนะเลิศกำลังจะเริ่มต้นขึ้น โดยลูกทีมของ “เจอร์เก้น คล็อปป์” จะเผชิญหน้ากับ “บียาร์เรอัล” ที่ “แอนฟิลด์” ในคืนวันพุธนี้⁣⁣
⁣⁣
มันจะเป็นรอบชิงชนะเลิศครั้งที่ 3 ในรอบ 5 ปี ในรายการนี้ หาก “ลิเวอร์พูล” สามารถผ่านทีม “เรือดำน้ำสีเหลือง” จากสเปนได้สำเร็จ⁣⁣
⁣⁣
ทีม “หงส์แดง” เคยผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ “แชมเปี้ยนส์ลีก” มาแล้วทั้งหมด 5 ครั้งก่อนหน้านี้ เราจะพาทุกท่านย้อนเวลากลับไปดูว่า พวกเขาทำได้ดีแค่ไหนในอดีตที่ผ่าน⁣⁣





2004/05 – เชลซี⁣⁣
⁣⁣
“เชลซี” ก้าวเข้าสู่รอบรองชนะเลิศในฐานะแชมป์ “พรีเมียร์ลีก” ในปี 2005 ซึ่งด้วยความเย่อหยิ่งของ “โฆเซ่ มูรินโญ่” ทำให้นักเตะของเขาตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ⁣⁣
⁣⁣
“ลิเวอร์พูล” ต่อสู้เพื่อผลเสมอ 0-0 ที่ “สแตมฟอร์ดบริดจ์” ทำให้บรรยากาศที่ “แอนฟิลด์” ในเลกที่ 2 ยอดเยี่ยมที่สุดครั้งหนึ่งเลยทีเดียว⁣⁣
⁣⁣
“ประตูผี” ของ “หลุยส์ การ์เซีย” ทำให้ “ลิเวอร์พูล” ขึ้นนำก่อนอย่างรวดเร็ว โดยเสียงโห่หลังจากประตูดังกล่าวนั้นไม่มีอะไรมาเทียบได้จนกระทั่งทุกวันนี้ ซึ่ง 85 นาทีหลังจากนั้นมีแต่ความตึงเครียดอย่างเหลือทน⁣⁣
⁣⁣
ลูกทีมของ “ราฟา เบนิเตซ” ตั้งรับกันอย่างสุดชีวิตจนแทบจะเอาตัวไม่รอด หลังจากฝั่ง “เชลซี” สร้างโอกาสในการทำประตูครั้งแล้วครั้งเล่า⁣⁣
⁣⁣
การทำพลาดในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของ “ไอเดอร์ กุ๊ดยอห์นเซ่น” ทำให้แฟนบอล “เชลซี” แทบไม่อยากจะทนดูอีกต่อไป และเมื่อเวลายังคงเดินไปเรื่อยๆ ระดับความเจ็บปวดของพวกเขามีมากแค่ไหน ก็ไม่อาจจะคาดเดาได้⁣⁣
⁣⁣
และอย่างที่มันเป็น “ลิเวอร์พูล” กัดฟันผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศที่ “อิสตันบูล” ได้สำเร็จโดยไปพบกับ “เอซี มิลาน” และนั่นนับเป็นนัดชิงฯ ที่สวยงามและมหัศจรรย์ที่สุด⁣⁣
⁣⁣
2006/07 – เชลซี⁣⁣
⁣⁣
สองปีต่อปี “ลิเวอร์พูล” และ “เชลซี” มีอันต้องโคจรกลับมาพบกันอีกครั้ง⁣⁣
⁣⁣
ซึ่งหลายๆ คนมองว่ามันจะเป็น “การแก้แค้น” ของทีมสีน้ำเงิน และหลังจากประตูของ “โจ โคล” ที่ลอนดอนตะวันตก “ลิเวอร์พูล” ก็เหมือนไม่มีอะไรจะเสีย⁣⁣
⁣⁣
อย่างไรก็ตาม ค่ำคืนสุดพิเศษอีกคืนที่ “แอนฟิลด์” ส่งผลให้ทีมของ “เบนิเตซ” ได้รับชัยชนะอีกคร้้ง โดยความพยายามอันยอดเยี่ยมของ “แดเนียล แอ็กเกอร์” ทำให้เจ้าบ้านขึ้นนำในครึ่งแรก⁣⁣
⁣⁣
หลังจากนั้น ทั้งสองทีมใกล้เคียงกับการได้ประตูกันทั้งคู่ ทั้งในเวลาปกติและในช่วงต่อเวลาพิเศษ “เดิร์ก เคาท์” คิดว่าเขายิงประตูชัยได้สำเร็จ แต่ธงล้ำหน้ากลับสะบัดขึ้นมา โดยท้ายที่สุดต้องตัดสินกันด้วยการดวลลูกจุดโทษเพื่อหาผู้ชนะ⁣⁣
⁣⁣
ซึ่ง “เคาท์” ก็ไม่รอช้าที่จะสวมบทฮีโร่ เนื่องจากเขามีประสบการณ์ในเกมใหญ่ๆ มาไม่น้อย เขายิงประตูชัยเข้าไป หลังจากลูกยิงของ “ร็อบเบน” และ “เยเรมี” โดนปฏิเสธโดย “เปเป้ เรน่า”⁣⁣
⁣⁣
นั่นทำให้ “เชลซี” ต้องน้ำตาตกอีกครั้ง⁣⁣
⁣⁣
2007/08 – เชลซี⁣⁣
⁣⁣
อย่างไม่น่าเชื่อ “ลิเวอร์พูล” มีอันต้องมาพบกับ “เชลซี” ในรอบรองชนะเลิศ “แชมเปี้ยนส์ลีก” เป็นครั้งที่ 3 ในช่วงเวลาเพียง 4 ฤดูกาล แต่คราวนี้พวกเขาต้องพบกับความพ่ายแพ้⁣⁣
⁣⁣
ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นในเลกแรก โดยประตูขึ้นนำของ “เดิร์ก เคาท์” ดูเหมือนว่าจะทำให้มั่นใจว่า “ลิเวอร์พูล” จะชนะ 1-0 และไม่เสียประตูทีมเยือน⁣⁣
⁣⁣
แต่แล้วช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในอาชีพค้าแข้งของ “จอห์น อาร์เน่ รีเซ่” กับ “ลิเวอร์พูล” ก็มีอันเกิดขึ้น เมื่อเขาโหม่งลูกบอลเข้าประตูทีมตนเองอย่างโชคร้าย⁣⁣
⁣⁣
นั่นทำให้คุณสัมผัสได้ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้น⁣⁣
⁣⁣
“เชลซี” จบลงด้วยชัยชนะ 3-2 ในเลกที่สองที่ “สแตมฟอร์ดบริดจ์” และผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศกับ “แมนฯ ยูไนเต็ด”⁣⁣
⁣⁣
นั่นช่างน่าเสียดาย ถ้าหากเป็น “ลิเวอร์พูล” เข้าไปแทน คงจะสนุกไม่น้อย!!!⁣⁣
⁣⁣
2017/18 – โรม่า⁣⁣
⁣⁣
เป็นเวลายาวนานกว่าทศวรรษ ก่อนที่ “ลิเวอร์พูล” จะได้ลิ้มรสกับรอบรองชนะเลิศ “แชมเปี้ยนส์ลีก” อีกครั้งหนึ่ง โดยในยุคของ “เจอร์เก้น คล็อปป์” มันเต็มไปด้วยความสนุกตื่นเต้น⁣⁣
⁣⁣
“ลิเวอร์พูล” เป็นทีมเต็งที่จะเก็บชัยชนะเหนือ “โรม่า” ในทั้งสองนัด แต่สุดท้ายกลับจบลงด้วยผลการแข่งขันสุดดราม่า⁣⁣
⁣⁣
ในเลกแรก “ลิเวอร์พูล” ยิงประตูขึ้นนำทีมจาก “เซเรียอา” ถึง 5-0 ตั้งแต่กลางครึ่งหลัง พร้อมก้าวเท้าเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศไปแล้วข้างหนึ่ง โดยแม้แต่ “อลิสซอน” ในตอนนั้นก็ไม่อาจหยุดพวกเขาได้แม้แต่น้อย⁣⁣
⁣⁣
แต่แล้ว 2 ประตูในช่วงท้ายเกมของ “โรม่า” ก็ช่วยต่อลมหายใจให้พวกเขาได้อีกหน่อย⁣⁣
⁣⁣
อันที่จริง ความพ่ายแพ้ 4-2 ในกรุงโรม มีความกดดันน้อยกว่าสกอร์ที่เห็นไม่น้อย แต่ลูกทีมของ “คล็อปป์” ควรจะทำให้ชีวิตของตัวเองง่ายกว่านั้นสักนิดนะ⁣⁣
⁣⁣
และนั่นทำให้พวกเขากรุยทางไปสู่กรุงเคียฟ แต่ต้องอกหักด้วยน้ำมือของ “เรอัล มาดริด” อย่างสุดชอกช้ำ⁣⁣
⁣⁣
2018/19 – บาร์เซโลน่า⁣⁣
⁣⁣
สิ่งที่เกิดขึ้นในการดวลกับ “บาร์เซโลน่า” ในรอบรองชนะเลิศเมื่อ 3 ปีก่อนยังคงรู้สึกเป็นเรื่องเหลือเชื่อ หลังจาก “ลิเวอร์พูล” สามารถ “พลิกนรก” กลับมาได้อย่างสุดเหลือเชื่อไม่แพ้ครั้งที่ “อิสตันบูล”⁣⁣
⁣⁣
“ลิเวอร์พูล” แพ้ไปก่อน 3-0 ที่ “คัมป์นู” แต่ตัวเลขที่เห็นไม่ค่อยยุติธรรมเท่าใดนัก โดยลูกทีมของ “คล็อปป์” เล่นได้ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่กลับต้องพ่ายแพ้ต่อ “เวทย์มนตร์” ของ “ลิโอเนล เมสซี”⁣⁣
⁣⁣
ด้วยการขาด “โมฮัมเหม็ด ซาล่าห์” และ “โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่” ในเลกที่ 2 และด้วยการคาดว่า “เมสซี” และ “หลุยส์ ซัวเรซ” จะสามารถทำประตูทีมเยือนได้ จึงไม่อาจจินตนาการได้เลยว่า “ลิเวอร์พูล” จะพลิกสถานการณ์เช่นนี้ไปได้อย่างไร หากเป็นไปตามมาตรฐานปกติ⁣⁣
⁣⁣
แต่มันกลับกลายเป็นค่ำคืนสุดอัศจรรย์อีกครั้ง เมื่อ “ดิว็อค โอริกี้” ทำประตูขึ้นนำในครึ่งแรก และ “จินี ไวจ์นัลดุม” ซัดอีกสองประตูในช่วงต้นครึ่งหลัง เป็นผลให้สกอร์รวมกลับมาเท่ากัน⁣⁣
⁣⁣
จากนั้นในนาทีที่ 79 “เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-โนลด์” เปิดลูกเตะมุมเข้ามา และเป็น “โอริกี้” ที่ทำหน้าที่จัดการส่วนที่เหลือ กลายเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาที่ “แอนฟิลด์”⁣⁣
⁣⁣
และในครั้งนี้ “ลิเวอร์พูล” ไม่พลาดในรอบชิงชนะเลิศ โดยเอาชนะ “ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์” 2-0 และคว้าถ้วยใหญ่สุดของยุโรปใบที่ 6 มาครองได้สำเร็จ!!!⁣⁣




คุณอาจสนใจ :

ตำนานสนามแอนฟิลด์
ประวัติสโมสรลิเวอร์พูล
ทำเนียบแชมป์
ตำนานนักเตะลิเวอร์พูล

a

Our References :

liverpoolfc.com

liverpoolecho.co.uk

thisisanfield.com

a

 714 total views,  1 views today

0 0 votes
Article Rating
Subscribe
Notify of
guest
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด