
เจาะ 5 ประเด็นหลังเกมบุกไปฝัง “แมนฯ ยูไนเต็ด”
“ลิเวอร์พูล” ยังคงรักษาความหวังในการไปเล่นแชมเปี้ยนส์ลีก หลังจากชัยชนะ 4-2 ที่โอลด์แทร็ฟฟอร์ด แม้ผู้ตัดสินจะไม่เป็นใจก็ตาม
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2
ลิเวอร์พูล 4
พรีเมียร์ลีก
สนามโอลด์แทร็ฟฟอร์ด
วันที่ 13 พฤษภาคม 2021
ประตู : แฟร์นันด์ส 10′, แรชฟอร์ด 68′
โชต้า 34′, ฟีร์มีโน่ 45+3′ และ 47′, ซาล่าห์ 89′
a
เกมของ “แน็ท ฟิลลิปส์ “

ในสถานการณ์เช่นนี้ บางทีการประเมินระดับความสามารถ หรือความเหมาะสมที่จะอยู่ในทีมคงไม่มีประโยชน์สักเท่าไหร่นัก เพราะเขาอยู่ที่นี่ และเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ณ เวลานี้ และพวกเราควรจะให้การสนับสนุนเขาต่างหาก
ในบางโซเชียลมีเดีย เขาแทบจะได้รับการยกย่องเป็น “ฮีโร่” เสียด้วยซ้ำ
“แน็ท ฟิลลิปส์ ” เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับเกือบทุกประเด็นในครึ่งเวลาแรก
เขาทำเข้าประตูตัวเอง ซึ่งเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นจากตรงนั้น ลูกบอลจากการยิงของ “บรูโน่ แฟร์นันด์ส” พุ่งมากระเด้งตัวเขาผ่านมือ “อลิสซอน” เข้าประตูไปอย่างโชคร้าย ซึ่งสุดท้ายประตูนี้ถูกยกเครดิตแก่นักเตะโปรตุกีส
เขาเรียกจุดโทษให้กับทีมได้ ซึ่งถูกริบคืนในเวลาต่อมา และเป็นผู้ทำแอสซิสต์ในประตูตีเสมอของ “ดิโอโก้ โชต้า”
เขาจบเกมด้วยการเอาชนะลูกกลางอากาศได้ 4 ครั้ง และเคลียร์บอลได้ 6 ครั้ง ซึ่งรวมถึงลูกที่เขาเคลียร์จากเส้นประตูได้อย่างหวุดหวิดอีกด้วย
ไม่ว่าผู้คนจะคิดว่าระดับของ “แน็ท ฟิลลิป์ส์ ” เป็นเช่นไร ต้องนับว่าเขาก็สามารถช่วยทีมได้ในยามที่ต้องการเช่นนี้ และเขาก็ทำผลงานได้อย่างน่าชื่นชม
a
จุดโทษ???

บางทีอาจจะไม่เป็นอย่างที่พวกเราคิด แต่พวกคุณก็เห็นสิ่งที่พวกเขาทำกับเรานี่นา โดยเฉพาะในฤดูกาลนี้
“แน็ท ฟิลลิปส์ ” ถูกเตะล้มลงในเขตโทษ ในจังหวะที่ผู้เล่น “แมนฯ ยูไนเต็ด” เตะบอลทิ้ง และผู้ตัดสินชี้ไปที่จุดโทษ
แต่สุดท้ายลูกจุดโทษถูกยกเลิกในเวลาต่อมา
หากเลือกจะมองในแง่ดี อาจจะเป็นเพราะผู้เล่นไม่มีเวทมนตร์ทำให้ขาตัวเองหายไปหลังจากเตะบอลไปแล้ว
ด้วยเหตุนี้ ทันทีที่ “แอนโธนี่ เทย์เลอร์ ” วิ่งไปที่มอนิเตอร์ เขาคงคาดหวังที่จะเปลี่ยนใจอยู่แล้ว
แต่นั่นแหละ นี่คือฤดูกาล 2020-21 และนี่คือ “ลิเวอร์พูล” มันจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่การตัดสินจะถูกยกเลิก นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น
หลังจากนั้น ลูกที่ “สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ ” เข้าทำฟาล์ว “ซาดิโอ มาเน่” ซึ่งควรจะเป็นใบเหลืองที่สอง ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของความโชคร้ายในฤดูกาลนี้ของ “ลิเวอร์พูล”
a
“ฟีร์มีโน่” กลับมาอย่างสุดยอด

ก่อนลงเล่นเกมนี้ “โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่” เพิ่งทำได้เพียง 6 ประตูจากการลงเล่นเป็นตัวจริง 33 นัด รวมทุกรายการ ดังนั้นการจบฤดูกาลด้วยจำนวนประตูเลข 2 หลักคงเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้
สิ่งที่ดีที่สุดที่อาจจะคาดหวังได้จากการใส่ชื่อของเขาเป็น 11 ตัวจริงในเกมนี้ก็คือ การวิ่งเข้ากดดันคู่ต่อสู้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และการทำทางสวยๆ ให้กับ “โมฮัมเหม็ด ซาล่าห์ ” และ “ดิโอโก้ โชต้า”
แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขากลับทำประตูได้!!!
ดาวเตะชาวบราซิลทำประตูจากลูกโหม่งที่เสาสอง จากการสลัดการประกบของ “พอล ป็อกบา” ซึ่งเป็นลูกที่ “เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ” เปิดฟรีคิกเข้ามา และอีกลูกจากการอยู่ถูกที่ถูกเวลา ซ้ำลูกยิงของ “เทรนท์ ” เข้าไปในช่วงต้นครึ่งหลัง
โดยหลักการแล้ว คุณคงไม่คาดหวังให้ศูนย์หน้ายิงประตูเป็นจำนวน 25% ของที่ทำได้ตลอดฤดูกาลในเกมเดียว และคงไม่ใช่เกมที่ไปเยือน “แมนฯ ยูไนเต็ด” อย่างแน่นอน
สัญชาตญาณเช่นนี้ของ “ฟีร์มีโน่” จากตอนนี้ไปจนจบฤดูกาล น่าจะเป็นส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในอันดับบนตารางคะแนนของ “ลิเวอร์พูล” เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล
a
เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์

“อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ” ผ่านบอลอันตรายได้ถึง 5 ครั้งในเกมนี้ รวมถึงแอสซิสต์ในประตูที่ 2 และลูกยิงที่ทรงพลังเกินกว่า “ดีน เฮนเดอร์สัน” จะรับได้ กลายเป็นอีกแอสซิสต์ของเขาในนัดนี้
แบ็คขวารายนี้สัมผัสบอลมากกว่าผู้เล่นคนอื่นใดในสนาม และผลงานของเขาก็ชวนให้นึกถึงฟอร์มอันโดดเด่นในฤดูกาลก่อนๆ
การผ่านบอลยาวอย่างแม่นยำนั้นกลับคืนมา แม้จะไม่ได้สะท้อนในสถิติการผ่านบอลสำเร็จของเขา (68%) เนื่องจากเขามักจะวางบอลเข้าไปในพื้นที่อันตรายเสียมากกว่าส่งบอลง่ายๆ ตรงไปยังเพื่อนร่วมทีม
“เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ” ได้รับเลือกเป็น “แมนออฟเดอะแมทช์ ” ในเกมที่ “แกเรธ เซาธ์เกต” นั่งอยู่ในสนามด้วย
a
จะได้ไปยุโรปไหน???

แชมเปี้ยนส์ลีก, ยูโรป้าลีก หรือ คอนเฟอเรนซ์ ???
ชัยชนะนัดนี้ทำให้ “ลิเวอร์พูล” ขยับขึ้นไปอยู่ที่ 5 หลังจากไม่เคยได้อันดับดีกว่าที่ 6 เลย ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ พวกเขาแซงหน้า “เวสต์แฮม” และน่าจะไม่มีปัญหาสำหรับการได้ไปเล่น “ยูโรป้าลีก” อย่างไรก็ตาม พวกเขามีเป้าหมายที่จะไปเล่นรายการที่ใหญ่กว่านั้น อันได้แก่ “แชมเปี้ยนส์ลีก”
“ลิเวอร์พูล” ตามหลัง “เชลซี” อยู่ 4 คะแนน และตามหลัง “เลสเตอร์ ซิตี้” อยู่ 6 คะแนน โดยลงเล่นน้อยกว่าทั้งสองทีมอยู่ 1 นัด นอกจากนั้น “เลสเตอร์ ” และ “เชลซี” มีโปรแกรมจะพบกันเองในวันอังคาร หลังจากที่พวกเขาพบกันในนัดชิงชนะเลิศเอฟเอคัพ สุดสัปดาห์นี้
ชัยชนะ 3 นัดรวดน่าจะเพียงพอสำหรับ “ลิเวอร์พูล” เว้นแต่ว่า “เลสเตอร์ ” จะยิงประตูเยอะๆ ใส่ “สเปอร์ ” และแพ้ให้แก่ “เชลซี”
บรรดาผู้เล่นทราบดีถึงภารกิจที่อยู่เบื้องหน้า
“เป้าหมายของพวกเราก็คือ ต้องชนะในทุกเกมที่เหลือ” ฟิลลิปส์ให้สัมภาษณ์กับนักข่าว
“เจอร์เก้น คล็อปป์” จะต้องย้ำเตือนถึงภารกิจอันนี้ และให้แน่ใจว่านักเตะจะลงเล่นอย่างมีสมาธิ ในฟอร์มที่ยอดเยี่ยม และเก็บทุกแต้มที่เหลือของฤดูกาลจาก “เวสต์บรอมวิช, เบิร์นลี่ย์ และพาเลซ”
a
คุณอาจสนใจ :
ข้อมูลนักเตะลิเวอร์พูล
ตำนานสนามแอนฟิลด์
ประวัติสโมสรลิเวอร์พูล
ทำเนียบแชมป์
ตำนานนักเตะลิเวอร์พูล
a
Our References :
2,703 total views, 7 views today