ตำนานลิเวอร์พูล – สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล ถูกก่อตั้งหลังจากความขัดแย้งระหว่างคณะกรรมการของสโมสร “เอฟเวอร์ตัน” และ “จอห์น โฮลดิ้ง” ผู้เป็นประธานสโมสรและเจ้าของที่ดินที่แอนฟิลด์ หลังจากใช้สนามเป็นเวลา 8 ปี “เอฟเวอร์ตัน” ได้ย้ายไปที่ “กูดิสัน พาร์ค” ในปี 1892 และเป็นเวลาที่ “โฮลดิ้ง” ก่อตั้งสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล เพื่อลงเล่นที่สนามแอนฟิลด์

หลังจากนั้น การเดินทางอันเป็นตำนานอันแสนยิ่งใหญ่ของสโมสรลิเวอร์พูลก็ได้เริ่มต้นขึ้น…
1892
วันที่ 3 มิถุนายน – สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล ถูกก่อตั้งขึ้น

ในวันที่ 15 มีนาคม 1892 “จอห์น โฮลดิ้ง” ได้แยกตัวออกจากบอร์ดของ “เอฟเวอร์ตัน” เพื่อตั้งสโมสรใหม่ นั่นก็คือ “สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล” ซึ่งได้รับการยอมรับจากสภาหอการค้าในวันที่ 3 มิถุนายน จึงถือเป็นวันเกิดสโมสรของพวกเราอย่างเป็นทางการ
วันที่ 3 กันยายน
“ไฮเออร์ วอลตัน” คือคู่แข่งทีมแรกที่ “ลิเวอร์พูล” ลงเตะแมทช์อย่างเป็นทางการ ซึ่งจบลงด้วยชัยชนะของทีมเรา 8-0 !!!
1893
วันที่ 2 กันยายน

“ลิเวอร์พูล” ลงเตะในฟุตบอลลีกเป็นเกมแรก โดยพบกับ “มิดเดิลสโบรช์ ไอโรโนโพลิส”
1894
วันที่ 28 เมษายน
“ลิเวอร์พูล” เลื่อนชั้นขึ้นสู่ “ดิวิชั่น 1” ได้สำเร็จ ทั้งๆ ที่เพิ่งได้เล่นในฟุตบอลลีกเพียงปีเดียว
1896
วันที่ 18 กุมภาพันธ์

“ลิเวอร์พูล” ที่กำลังไล่ล่าการเลื่อนชั้น ทำสถิติฟุตบอลลีกด้วยการถล่ม “ร็อตเธอร์แฮม” ไปถึง 10-1 ที่สนามแอนฟิลด์
วันที่ 17 สิงหาคม

“ทอม วัตสัน” ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการทีม “ลิเวอร์พูล” นายใหญ่ ซึ่งเป็นชาวเมืองนิวคาสเซิ่ลโดยกำเนิด ได้พา “ซันเดอร์แลนด์” จากช่วงเวลาอันยากลำบาก สู่แชมป์ลีก 3 สมัย ก่อนที่ประธานสโมสรลิเวอร์พูล “จอห์น แมคเคนน่า” จะยื่นข้อเสนอทางการเงินที่เขาไม่สามารถปฏิเสธได้
1901
วันที่ 29 เมษายน – “ลิเวอร์พูล” คว้าแชมป์เป็นครั้งแรก

เพียง 8 ปี หลังจากเข้าร่วมฟุตบอลลีก สโมสรฟุตบอล “ลิเวอร์พูล” ได้ขึ้นสู่จุดสูงสุดของ “เกมกีฬาแห่งอังกฤษ” ด้วยตำแหน่งแชมป์ ซึ่งเป็นการปูทางให้กับรุ่นหลังๆ ณ ถิ่นแอนฟิลด์
1906
วันที่ 14 เมษายน
ถ้วยแชมป์ดิวิชั่น 1 กลับสู่ถิ่นแอนฟิลด์อีกครั้ง หลังจาก “ลิเวอร์พูล” เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมาจากดิวิชั่น 2 ในฐานะแชมป์
1906
วันที่ 25 เมษายน

“ลิเวอร์พูล” เข้าชิงในรายการ เอฟเอคัพ เป็นครั้งแรก แต่พ่ายแพ้ให้กับ “เบิร์นลี่ย์” อย่างน่าเสียดาย
1922
วันที่ 15 เมษายน
การฟาดแข้งที่สนามโรเกอร์ พาร์ค ของ “ซันเดอร์แลนด์ ” ดูไม่ค่อยเป็นลางดีสักเท่าไหร่ สำหรับการลุ้นแชมป์ลีก แต่ “ลิเวอร์พูล” ก็สามารถกลับมาจากการตามหลังถึง 3-0 จนในที่สุดคว้าถ้วยแชมป์กลับแอนฟิลด์ได้สำเร็จ แม้ว่าจะแพ้ถึง 2 ใน 3 เกมสุดท้าย “ลิเวอร์พูล” ก็ยังจบฤดูกาล 1921-22 ด้วยคะแนนทิ้งห่างอันดับสองอย่าง “สเปอร์ ” ถึง 6 แต้ม เลยทีเดียว
1923
วันที่ 21 เมษายน

แม้ว่าผู้จัดการทีม “เดวิด แอชเวิร์ธ” จะตัดสินกลับไปคุมทีมเก่า “โอลแดม แอธเลติก” ในกลางฤดูกาล “ลิเวอร์พูล” ยังสามารถป้องกันแชมป์ได้ โดยมี 6 คะแนน เหนือ “ซันเดอร์แลนด์ ” ส่วน “โอลแดม” อยู่ท้ายตารางของลีกในเวลาที่ “แอชเวิร์ธ” กลับไปคุมทีม และแน่นอนว่าเขาถูกไล่ออก
1928
วันที่ 28 สิงหาคม – อัฒจรรย์ “สปิออน ค็อป” เริ่มมีหลังคา

“สปิออน ค็อป” มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก ในฐานะอัฒจรรย์ยืนที่ดังกึกก้องที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ แต่หลังจากมีการปรับปรุงครั้งใหญ่ มันได้ขยายตัวจนมีขนาด 425 x 131 ฟุต ซึ่งเป็นภาพอันน่าเกรงขามสำหรับนักฟุตบอลทีมเยือน ที่มีผู้ชมยืนเชียร์ถึง 30,000
การต่อเติมที่สำคัญที่สุดก็คือ การติดตั้งหลังคาคานเหล็ก ซึ่งได้ทำหน้าที่เหมือนเครื่องขยายเสียงของกองเชียร์ที่บ้าคลั่งจนทำให้รูสึกเหมือนแก้วหูจะระเบิดเลยทีเดียว
1938
วันที่ 16 กุมภาพันธ์

“แจ็ค บัลเมอร์ ” ทำประตูที่นับว่าเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์อันยาวนานและยิ่งใหญ่ของสโมสรฟุตบอล “ลิเวอร์พูล” ซึ่งใช้เวลาเพียงแค่ 10 วินาที เท่านั้น ใน “เมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้” ที่ “กูดิสัน พาร์ค” ต่อหน้าแฟนบอล 33,465 คน
1946
วันที่ 12 กันยายน

ค่าตัวในการย้ายทีม 13,000 ปอนด์ อาจจะดูไม่มากนักสำหรับสมัยนี้ แต่นั่นเป็นจำนวนเงินที่ประธานสโมสร “บิลลี่ แม็คคอเนล” และผู้จัดการทีม “จอร์จ เคย์ ” ตกลงจ่ายให้แก่ “นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด” เพื่อคว้าศูนย์หน้า “อัลเบิร์ต สตับบินส์ ” ซึ่งกลายเป็นสถิติสูงที่สุดในเวลานั้น โดย “สตับบินส์ ” ก็ตอบแทนทีม “หงส์แดง” ด้วยการซัดไป 83 ประตู จากการลงเล่น 178 เกม
1946
วันที่ 23 พฤศจิกายน

“แจ็ค บัลเมอร์ ” สามารถทำ “แฮททริค” ในการลงเล่น 3 นัดติดต่อกัน โดยเป็นการพบกับ “พอร์ทสมัธ” “ดาร์บี้ เคาน์ตี้” และ “อาร์เซน่อล” ซึ่งสถิติดังกล่าวยังไม่เคยมีนักเตะลิเวอร์พูลคนใดทำได้อีกเลย
1947
วันที่ 14 มิถุนายน – “ลิเวอร์พูล” คว้าแชมป์หลังสงคราม

“ลิเวอร์พูล” จบฤดูกาลโดยเฉือนคู่รักคู่แค้นอย่าง “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” เพียง 1 แต้ม คว้าแชมป์ลีกครั้งแรกหลังสงครามโลก
1950
วันที่ 29 เมษายน

“ลิเวอร์พูล” ปราชัยต่อ “อาร์เซน่อล” ในนัดชิงชนะเลิศเอฟเอคัพครั้งแรกของพวกเรา ที่สนามเวมบลีย์
1952
วันที่ 2 กุมภาพันธ์

“สนามแอนฟิลด์ ” ได้ต้อนรับแฟนบอลถึง 61,905 คน ในฟุตบอลเอฟเอคัพ รอบ 4 ในการพบกับ “วูล์ฟส์ ” ซึ่งได้กลายเป็นสถิติสูงสุดจวบจนกระทั่งทุกวันนี้
1954
วันที่ 24 เมษายน
50 ฤดูกาลติดต่อกันในลีกสูงสุดเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุด ความพ่ายแพ้ 1-0 ในบ้านต่อ “คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้” ซึ่ง “บิลลี่ ลิดเดล” ยิงจุดโทษพลาด ส่งผลให้ทีมของ “ดอน เวลช์ ” ตกชั้น
1954
วันที่ 11 ธันวาคม

ในตอนบ่ายของเดือนธันวาคม อันหนาวเหน็บถึงขั้วกระดูก “ลิเวอร์พูล” ทำสถิติพ่ายแพ้สูงสุดถึง 9-1 ต่อ “เบอร์มิ่งแฮม ซิตี้” ที่สนามเซนต์ แอนดรูวส์
1959
วันที่ 15 มกราคม

“ลิเวอร์พูล” พบกับความอัปยศในการพ่ายแพ้ต่อทีมนอกลีก ส่งผลให้พวกเขาร่วงตกรอบ เอฟเอคัพ ด้วยน้ำมือของ “วอร์เชสเตอร์ “
1959
วันที่ 1 ธันวาคม – “แชงคลีย์ ” เซ็นสัญญาสู่ถิ่นแอนฟิลด์

วันที่จะถูกฝังไว้ในบันทึกหน้าประวัติศาสตร์ของถิ่นแอนฟิลด์ไปตลอดกาล เมื่อสโมสรฟุตบอล “ลิเวอร์พูล” ประกาศให้ “บิล แชงคลีย์ ” เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งของ “ฟิล เทย์เลอร์ ” ในฐานะผู้จัดการทีม ซึ่งเก้าอี้กำลังร้อนระอุในเวลานั้น
ในเวลาดังกล่าว ไม่มีใครรู้เลยว่าสโมสร “หงส์แดง” กำลังจะเข้าสู่ยุคอันน่าตื่นเต้นที่สุด ความเป็นทีมดาดๆ ในดิวิชั่น 2 กำลังจะกลายเป็นอดีต เมื่อ “แชงคลีย์ ” ตั้งเป้าที่เปลี่ยนแปลงโชคชะตาของสโมสร และ “ลิเวอร์พูล” จะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป
1961
วันที่ 2 เมษายน

“เอียน เซนต์จอห์น” เป็นหนึ่งในสองการเซ็นสัญญานักเตะสก็อตที่ยอดเยี่ยมของ “บิล แชงคลีย์ ” ในปี 1961 พร้อมๆ กับเซ็นเตอร์แบ็คอย่าง “รอน ยีตส์ “

สโมสรตกลงจ่ายให้ “มาเธอร์เวลล์ ” เป็นจำนวนเงินซึ่งเป็นสถิติถึง 37,000 ปอนด์ เพื่อนักเตะผู้ซึ่งรู้จักกันในนาม “นักบุญ” ซึ่งเขาก็ตอนแทนสโมสรอย่างคุ้มค่าทุกเพนนี จากประตูและแอสซิสต์ที่เขาทำได้ในทศวรรษต่อมา
1962
วันที่ 21 เมษายน

เมื่อ “บิล แชงคลีย์ ” ซื้อตัว “รอน ยีตส์ ” ในเดือนกรกฎาคม 1961 เขากล่าวด้วยความเชื่อมั่นว่า เซ็นเตอร์แบ็คผู้นี้จะพา “ลิเวอร์พูล” กลับสู่ลีกสูงสุดของอังกฤษ ซึ่งภายใน 12 เดือนหลังจากนั้น ผู้จัดการทีมระดับตำนานผู้นี้ก็พิสูจน์ว่าเขาพูดถูกต้อง
การเลื่อนชั้นได้รับการยืนยัน ทั้งๆ ที่ยังเหลือเกมให้เล่นอีกถึง 5 นัด ด้วยการเอาชนะ “เซาแฮมป์ตัน” ไป 2-0 เป็นเวลาถึง 8 ปี หลังจากที่ “ดอน เวลช์ ” คุมทีมในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร ในที่สุด “ลิเวอร์พูล” ก็กลับมาสู่ที่ที่ควรจะอยู่อีกครั้ง
1964
วันที่ 18 เมษายน

หลังจากฤดูกาลแห่งการสร้างทีม จากการเลื่อนชั้นขึ้นมา “บิล แชงคลีย์ ” ก็ทำการพลิกฟื้นครั้งยิ่งใหญ่ในโชคชะตาของสโมสรได้สำเร็จ โดยการนำแชมป์ลีกกลับสู่แอนฟิลด์ได้เป็นสมัยที่ 6
ซึ่งจุดเปลี่ยนที่สำคัญคือชัยชนะ 5-0 เหนือ “อาร์เซน่อล” ในวันที่ 18 เมษายน 1964 ในวันนั้นประตูหมุนต้องถูกล็อกตั้งแต่ 1 ชั่วโมงก่อนเกมจะเริ่ม เนื่องจากสนามเต็มเป็นที่เรียบร้อย
1964
วันที่ 15 สิงหาคม

ถ้วยแชมป์ใบแรกในฤดูกาลแห่งประวัติศาสตร์ก็มาถึง เมื่อ “ลิเวอร์พูล” และ “เวสต์แฮม” เสมอกันไป 2-2 ในฟุตบอลรายการแชริตี้ชิลด์
1964
วันที่ 17 สิงหาคม

ต้อนรับสู่ยุโรป!!! “ลิเวอร์พูล” พบกับคู่ต่อสู้จากไอซ์แลนด์ “เรคยาวิก” ในฟุตบอลสโมสรยุโรปครั้งแรกของพวกเขา ซึ่ง “ลิเวอร์พูล” ก็เริ่มต้นได้อย่างแข็งแกร่ง เมื่อเอาชนะนอกบ้านไปก่อนถึง 5 ลูก และชัยชนะ 6-1 ที่แอนฟิลด์ในเลกที่สองก็ทำให้ผลประตูรวมเท่ากับ 11-1 เลยทีเดียว
1964
วันที่ 25 พฤศจิกายน – “ลิเวอร์พูล” สวมชุดสีแดงล้วนเป็นครั้งแรก

ในเดือนพฤศจิกายน 1964 “บิล แชงคลีย์ ” มีไอเดียที่จะส่งลูกทีมของเขาลงสนามด้วยชุดแข่งสีแดงล้วน ซึ่งแรกทีเดียวถุงเท้ายังเป็นสีขาว แต่ “แชงคลีย์ ” คิดว่า ทีมของเขาควรจะดูดุดันมากกว่านั้น ซึ่งเขาก็คิดถูกเช่นเคย
1965
วันที่ 1 พฤษภาคม – “ลิเวอร์พูล” คว้าแชมป์เอฟเอคัพ!!!

เป็นเวลาถึง 73 ปี ที่ถ้วยเอฟเอคัพยังคงไม่มีการจารึกชื่อของสโมสรฟุตบอล “ลิเวอร์พูล” ซึ่งสถิติดังกล่าวได้จบลงในบ่ายอันลืมไม่ลงของวันที่ 1 พฤษภาคม 1965
เกมใน 90 นาทีจบลงแบบไม่มีประตูเกิดขึ้น ซึ่งนำไปสู่การต่อเวลาพิเศษในรอบชิงชนะเลิศเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1947 โดยหลังจากนั้น ประตูของ “โรเจอร์ ฮันท์ ” และ “เอียน เซนต์จอห์น” ช่วยให้ “ลิเวอร์พูล” คว้าชัยชนะ 2-1 เหนือ “ลีดส์ ยูไนเต็ด” ของ “ดอน เรวี่” ในท้ายที่สุด
1965
วันที่ 4 พฤษภาคม – บรรยากาศอันบ้าคลั่งในแอนฟิลด์ขย่มขวัญนักเตะอินเตอร์

เพียงไม่กี่วันหลังการคว้าแชมป์เอฟเอคัพสมัยแรกของ “ลิเวอร์พูล” ที่สนามเวมบลีย์ ยักใหญ่ของยุโรปอย่าง “อินเตอร์ มิลาน” ก็ได้มาเยือนแอนฟิลด์ในการลงเตะยูโรเปี้ยนคัพ รอบรองชนะเลิศนัดแรก ซึ่ง “บิล แชงคลีย์ ” ได้ส่งฮีโร่ที่ได้รับบาดเจ็บอย่าง “เจอร์รี่ เบิร์น” และ “กอร์ดอน ไมล์น” เดินแห่ถ้วยแชมป์เอฟเอคัพไปรอบสนามก่อนการแข่งขัน ซึ่งจุดไฟให้บรรดาแฟนบอลเกิดอาการบ้าคลั่ง บรรยากาศดังกล่าวได้ช่วยให้เจ้าบ้านเอาชนะไปได้ 3-1 อย่างไรก็ตาม “ลิเวอร์พูล” ก็ยังไม่สามารถผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้ เนื่องจากความพ่ายแพ้ในนัดที่สอง
1965
วันที่ 14 สิงหาคม
“ลิเวอร์พูล” ครองแชมป์ร่วมในรายการ “แชริตี้ชิลด์ ” เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน หลังจากเสมอกับ “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” ไป 2-2

1966
วันที่ 30 เมษายน

“ลิเวอร์พูล” คว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 ได้อีกครั้ง จากการเอาชนะ “เชลซี” 2-1 ที่สนามแอนฟิลด์ สิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็คือ มีผู้เล่นเพียง 15 คนเท่านั้นที่ถูกใช้งานตลอดรายการนี้ โดย “เจอร์รี่ เบิร์น” “เอียน คัลแกน” “ทอมมี่ ลอว์เรนซ์ ” “ทอมมี่ สมิธ” และ “รอน ยีตส์ ” ได้ลงเล่นทุกนัดตลอดฤดูกาล!!!
1966
วันที่ 5 พฤษภาคม

“ลิเวอร์พูล” พบกับความปราชัยในนัดชิงชนะเลิศ ฟุตบอลสโมสรยุโรปครั้งแรกของพวกเขา โดยแพ้ให้กับ “โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ” 2-1 ในฟุตบอลคัพวินเนอร์สคัพนัดชิงชนะเลิศ ที่แฮมป์เดนปาร์คในกลาสโกว์
1966
วันที่ 13 สิงหาคม

หลังจากทีมชาติอังกฤษคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก “โรเจอร์ ฮันท์ ” ระเบิดประตูจากระยะ 25 หลา หลังจากเริ่มเกมเพียง 9 นาที ช่วยให้ “ลิเวอร์พูล” กุมชัยชนะ 1-0 เหนือ “เอฟเวอร์ตัน” และคว้าแชมป์แชริตี้ชิลด์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร
1971
วันที่ 9 พฤษภาคม

ศึกเอฟเอคัพนัดชิงชนะเลิศ จบลงด้วยความพ่ายแพ้ต่อทีมดับเบิลแชมป์อย่าง “อาร์เซน่อล” แต่วันดังกล่าวยังคงเป็นสำคัญวันหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของสโมสร “ลิเวอร์พูล”
หลังจากเดินทางกลับสู่ลิเวอร์พูล “บิล แชงคลีย์ ” และลูกทีม ถูกต้อนรับอย่างอบอุ่นโดยแฟนบอล “ลิเวอร์พูล” ตลอดสองข้างทางเป็นจำนวนหลายพันคนในฐานะ “ฮีโร่” ของพวกเขา
1973
วันที่ 28 เมษายน

“ลิเวอร์พูล” ได้รับชัยชนะจากการต่อสู้เพื่อแย่งตำแหน่งแชมป์จากอีกสองทีมอย่าง “ลีดส์ ยูไนเต็ด” และ “อาร์เซน่อล”
ชัยชนะ 2-0 เหนือ “ลีดส์” ในเดือนเมษายน รวมกับผลเสมอของทีมปืนใหญ่ที่ “เซาแธมป์ตัน” ก็เพียงพอที่จะหยิบยื่นตำแหน่งแชมป์ให้แก่ลูกทีมของ “แชงคลีย์ ” ซึ่งได้รับการปรบมือแสดงความยินดีจากทีมคู่ต่อสู้ในสนาม
1973
วันที่ 23 พฤษภาคม – “ลิเวอร์พูล” คว้าแชมป์ยุโรปเป็นครั้งแรก

“บิล แชงคลีย์ ” “โชคดีครั้งที่สาม” เมื่อในที่สุดเขาก็สามารถคว้าถ้วยแชมป์สโมสรยุโรปใบแรกของให้กับ “ลิเวอร์พูล” ในนัดชิงชนะเลิศยูฟ่าคัพ
“ลิเวอร์พูล” เอาชนะ “โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค” ในการเล่นแบบเหย้า-เยือน โดย “ลิเวอร์พูล” ชนะไปก่อนในนัดแรกที่แอนฟิลด์ 3-0 ก่อนที่จะบุกไปแพ้ที่เยอรมัน 2-0
1974
วันที่ 4 พฤษภาคม – เอฟเอคัพ กลับสู่ถิ่นแอนฟิลด์อีกครั้ง

“เควิน คีแกน” โชว์ฟอร์มอันสุดยอดในการพา “ลิเวอร์พูล” ไปสู่ตำแหน่งแชมป์เอฟเอคัพ สมัยที่สองของสโมสร ด้วยชัยชนะเหนือ “นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด” ที่สนามเวมบลีย์
ศูนย์หน้าร่างเล็กซัดสองประตูอย่างสวยงามในครึ่งเวลาหลัง พา “ลิเวอร์พูล” คว้าชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จ 3-0
1974
วันที่ 12 กรกฎาคม – “บิล แชงคลีย์ ” ลาออก!!!

งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา…ในการแถลงข่าวอันแน่นขนัดที่สนามแอนฟิลด์ “บิล แชงคลีย์ ” ยืนยันว่า เขาตัดสินที่จะลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมของ “ลิเวอร์พูล”
1974
วันที่ 26 กรกฎาคม – “เพลสลี่ย์ ” เข้ารับตำแหน่งนายใหญ่แห่ง “ลิเวอร์พูล”

“บ๊อบ เพลสลี่ย์ ” เข้ารับงานที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ ในการสืบทอดตำแหน่งผู้จัดทีมสโมสรลิเวอร์พูลต่อจาก “บิล แชงคลีย์ ” สำหรับคนฟุตบอลผู้เงียบขรึม เห็นได้ชัดว่า “เพลสลี่ย์ ” ไม่ค่อยเต็มใจที่จะสืบทอดบังลังค์แห่งแอนฟิลด์เท่าใดนัก
1974
วันที่ 10 สิงหาคม – ความสำเร็จก่อนอำลาของ “แชงคลีย์ ” ในถิ่นแอนฟิลด์

เตะลงสู่สนามเวมบลีย์เป็นครั้งสุดท้ายในรายการแชริตี้ชิลด์ ซึ่ง “ลิเวอร์พูล” เอาชนะ “ลีดส์ ยูไนเต็ด” ไปได้จากการดวลจุดโทษ หลังจากเสมอกันในเวลา 1-1
1974
วันที่ 17 กันยายน

“ลิเวอร์พูล” บุกไปชนะทีมจากนอร์เวย์ “สตรอมก็อดเซต” ถึง 11-0 อันเป็นสถิติใหม่ ในรอบแรกของรายการคัพวินเนอร์สคัพ
1976
วันที่ 4 พฤษภาคม

“ลิเวอร์พูล” ลงเล่นฟุตบอลลีกนัดสุดท้ายของฤดูกาล โดย “ลิเวอร์พูล” ต้องการเพียง 1 แต้มจาก “วูล์ฟส์ ” ก็เพียงพอที่จะคว้าแชมป์สมัยที่ 9 จากผลต่างประตูได้เสีย
อย่างไรก็ตาม ชัยชนะ 3-1 จากประตูของ “เควิน คีแกน” “เรย์ เคนเนดี้” และ “จอห์น โตแช็ค” ทำให้ความฝันของทีม “ควีนสปาร์ค เรนเจอร์ส” เป็นอันดับลงโดยปริยาย
1976
วันที่ 9 พฤษภาคม – แชมป์ยูฟ่าคัพสมัยที่สอง

ชัยชนะอันสุดยากลำบาก 4-3 เหนือ “เอฟซี บรูจส์ ” ได้ทำให้ “ลิเวอร์พูล” คว้าแชมป์ยูฟ่าคัพเป็นสมัยที่ 2 เดินตามรอยทีมของ “บิล แชงคลีย์ ” เมื่อสามปีก่อนหน้า
“ลิเวอร์พูล” โดนนำไปก่อน 2 ลูก เมื่อจบครึ่งเวลาแรก และสามารถยิงกลับมาเอาชนะไปได้ 3-2 ในนัดแรก และตามตีเสมอเป็น 1-1 จากประตูของ “เควิน คีแกน” ในนัดที่สอง
1976
วันที่ 14 สิงหาคม

“ลิเวอร์พูล” เฉือนเอาชนะ “เซาแธมป์ตัน” ไปได้ 1-0 หยิบแชมป์แชริตี้ชิลด์ได้สำเร็จ “จอห์น โตแช็ค” เป็นผู้ซัดประตูโทนของเกมในนาทีที่ 50 และนำอีกหนึ่งถ้วยแชมป์กลับถิ่นเมอร์ซี่ย์ไซด์
1977
วันที่ 16 มีนาคม – ซูเปอร์ซับดับ “แซงต์ เอเตียง”

หนึ่งในค่ำคืนมหัศจรรย์ในฟุตบอลยุโรปในแอนฟิลด์ “ลิเวอร์พูล” พลิกสถานการณ์จากที่แพ้นัดแรกจากน้ำมือของทีมที่แข็งแกร่งอย่าง “แซงต์ เอเตียง” 1-0 จนสามารถผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศได้สำเร็จ ซึ่งต้องขอบคุณประตูอันสวยงามของ “เดวิด แฟร์คลัฟ”
1977
วันที่ 14 พฤษภาคม

“ลิเวอร์พูล” คว้าแชมป์ลีกสมัยที่ 10 ซึ่งเป็นผลมากจากฟอร์มในบ้านอันร้อนแรง โดยสามารถเอาชนะได้ถึง 18 นัด จาก 21 นัด ในการเล่นที่แอนฟิลด์
มีเพียง “มิดเดิลสโบรช์ ” “เวสต์ บรอมวิช” และ “เวสต์แฮม” เท่านั้นที่หนีรอดจากความพ่ายแพ้ในรังเหย้าของทีมหงส์แดงได้
1977
วันที่ 21 พฤษภาคม

หลังจากคว้าแชมป์ลีกมาครองได้สำเร็จ “ลิเวอร์พูล” ต้องหัวใจสลายในนัดชิงชนะเลิศเอฟเอคัพ ด้วยน้ำมือของ “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” ซึ่งความพ่ายแพ้นี้ทำให้ “ลิเวอร์พูล” หมดโอกาสในการคว้าสามแชมป์ ซึ่งพวกเขาไม่เคยทำได้มาก่อน
1977
วันที่ 25 พฤษภาคม – “ลิเวอร์พูล” พิชิตกรุงโรมคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ

ในค่ำคืนอันแสนสบาย ณ โอลิมปิก สเตเดี้ยม แห่งกรุงโรม “เอ็มลิน ฮิวจ์ ” ได้ชูถ้วยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในฟุตบอลระดับสโมสร “ยูโรเปี้ยนคัพ”
“ลิเวอร์พูล” เอาชนะ “โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค” คว้าแชมป์ได้สำเร็จ โดย “เทอร์รี่ แมคเดอร์มอทท์ ” “ทอมมี่ สมิธ” และ “ฟิล นีล” เป็นผู้ทำประตูในชัยชนะ 3-1 กรุยทางสู่ยุคแห่งความยิ่งใหญ่ของสโมสรฟุตบอลอังกฤษในทวีปยุโรปอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
1977
วันที่ 10 สิงหาคม – “เดลกลิช” ย้ายจาก “เซลติก” มาร่วมทีม “ลิเวอร์พูล”

ตำนานอันยิ่งใหญ่ของ “เคนนี่ เดลกลิช” กับ “ลิเวอร์พูล” ได้เริ่มต้นขึ้น เมื่อเขาย้ายจาก “เซลติก” มาสู่สโมสร “ลิเวอร์พูล” ทำให้แฟนบอลของ “เซลติก” ต้องพบกับความอกหักอย่างชอกช้ำจากการจากไปของเขา เราไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจากการมาร่วมทีมของนักเตะสก๊อตผู้นี้ แต่ก็นับว่าเป็นช่วงเวลาอันสำคัญอีกครั้งหนึ่งของประวัติศาสตร์สโมสร “ลิเวอร์พูล”
1977
วันที่ 13 สิงหาคม

ในเกมที่เสมอกันแบบไม่มีประตู “อันสุดเร้าใจ” “ลิเวอร์พูล” ครองแชมป์แชริตี้ชิลด์ร่วมกับ “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” ซึ่งแง่มุมที่น่าสนใจที่สุดของเกมนี้คือฟอร์มการเล่นของ “เด็กใหม่” อย่าง “เคนนี่ เดลกลิช” ซึ่งทำได้อย่าง “สมบูรณ์แบบ”
1977
วันที่ 6 ธันวาคม

“เทอร์รี่ แมคเดอร์มอทท์ ” ทำแฮททริคได้อย่างงดงาม เมื่อ “ลิเวอร์พูล” ไล่ถล่ม “ฮัมบูร์ก” ของ “เควิน คีแกน” ไป 6-0 คว้าแชมป์ยูโรเปี้ยนซูเปอร์คัพ ณ สนามแอนฟิลด์ หลังจากเสมอกันไปแบบหืดจับ 1-1 ในเยอรมัน
1978
วันที่ 22 มีนาคม

ลีกคัพนัดที่สองกลายเป็นความชอกช้ำของ “ลิเวอร์พูล” เมื่อพวกเขาปราชัยแก่ “น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ” ของ “ไบรอัน คลัฟ”
1978
วันที่ 10 พฤษภาคม – กระหึ่มเวมบลีย์ “ลิเวอร์พูล” เฉือน “บรูจส์ ” ซิวแชมป์ยุโรปอีกสมัย!!!

“ลิเวอร์พูล” กลายเป็นทีมจากอังกฤษทีมแรกที่สามารถป้องกันแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพได้สำเร็จ โดยเฉือนเอาชนะทีมจากเบลเยี่ยม “เอฟซี บรูจส์ ” ในเกมแบบวันเวย์ที่สนามเวมบลีย์
ลูกทีมของ “บ๊อบ เพลสลี่ย์ ” ครองเกมตั้งแต่ต้นจนจบ แต่เอาชนะไปได้เพียง 1-0 จากลูกยิงสุดสำคัญของราชาคนใหม่ของ “ลิเวอร์พูล” “เคนนี่ เดลกลิช”
1979
วันที่ 8 พฤษภาคม – ชัยชนะเหนือ “วิลล่า” การันตีแชมป์ลีก!!!

ทีมงาน “Boot Room” รวมตัวกันดื่มฉลองสำหรับแชมป์ลีกสมัยที่ 11 ที่พวกเขาพิชิตในรูปแบบของการทำลายสถิติ โดยเก็บได้ถึง 68 คะแนนอย่างสวยสดงดงาม ซึ่งเป็นคะแนนสูงสุดของฟุตบอลลีกในระบบที่ทีมชนะได้ 2 คะแนน
บ่อยครั้งที่ทีมของ “บ๊อบ เพลสลี่ย์ ” แข็งแกร่งเกินจะต้านทาน ด้วยเกมบุกอันทรงประสิทธิภาพ ซึ่งทำไปได้ถึง 85 ประตู และเกมรับซึ่งได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการว่า “แบ็คโฟร์ ” อันโหดหินที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งเสียไปเพียง 16 ประตูเท่านั้นตลอดฤดูกาล
1979
วันที่ 11 สิงหาคม

“ทุกอย่างปกติ” ที่สนามเวมบลีย์ เมื่อ “ลิเวอร์พูล” เอาชนะ “อาร์เซน่อล” 3-1 คว้าแชมป์แชริตี้ชิลด์ สองประตูจาก “เทอร์รี่ แม็คเดอร์มอทท์ ” และอีกหนึ่งประตูจาก “เคนนี่ เดลกลิช” ช่วยยัดเยียดความปราชัยให้แก่แชมป์เอฟเอคัพอย่าง “อาร์เซน่อล”
1980
วันที่ 3 พฤษภาคม

“เทอร์รี่ แม็คเดอร์มอทท์ ” กลายเป็นนักเตะคนแรกที่ได้รับเลือกเป็น “ผู้เล่นยอดเยี่ยม” ของทั้ง “สมาคมนักฟุตบอลอาชีพ” และ “สมาคมนักข่าวฟุตบอล” ในฤดูกาลเดียวกัน ซึ่ง “ลิเวอร์พูล” ทำสถิติคว้าแชมป์ลีกเป็นสมัยที่ 12 ในนัดที่เอาชนะ “แอสตัน วิลล่า” ไป 4-1 ที่สนามแอนฟิลด์
1980
วันที่ 9 สิงหาคม

“ลิเวอร์พูล” คว้าแชมป์แชริตี้ชิลด์เป็นสมัยที่ 5 ด้วยชัยชนะเหนือทีมจากดิวิชั่น 2 อย่าง “เวสต์แฮม” ซึ่งก่อนหน้านี้ทำให้วงการลูกหนังต้องตกตะลึง เมื่อสามารถพลิกล็อคเอาชนะทีมใหญ่อย่าง “อาร์เซน่อล” ได้ในนัดชิงชนะเลิศเอฟเอคัพในเดือนพฤษภาคม
1981
วันที่ 1 เมษายน

“อลัน แฮนเซ่น” เป็นผู้ชนะอันน่าเหลือเชื่อ เมื่อในที่สุด “ลิเวอร์พูล” สามารถทำลายอาถรรพ์ในฟุตบอลลีกคัพของพวกเขาได้สำเร็จ คว้าแชมป์เป็นสมัยแรก
“ดาวเตะชาวสก็อต” ยิงประตูขึ้นนำ 2-1 ในนาทีที่ 25 และกลายเป็นประตูตัดสินเกมเหนือ “เวสต์แฮม ยูไนเต็ด” ในนัดเตะใหม่ หลังจาก “เคนนี่ เดลกลิช” ยิงประตูตามตีเสมอไปก่อนหน้าไม่นาน
1981
วันที่ 27 พฤษภาคม – “เคนเนดี้” ฮีโร่ในเกม “ลิเวอร์พูล” ดับ “ชุดขาว” คว้าแชมป์ยุโรปอีกสมัย

แบ็คซ้ายซึ่งมีพรสวรรค์ในการทำในสิ่งที่คาดเดาได้ยาก ได้สวมบทฮีโร่ในเกมที่ “ลิเวอร์พูล” คว้าแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพสมัยที่ 3 ในเวลาเพียง 5 ปี โดยได้รับชัยชนะเหนือ “รีด มาดริด” ณ กรุงปารีส
หลังจากผ่านไป 83 นาที ในรูปเกมที่แสนจะอึดอัด “อลัน เคนเนดี้” ได้ทิ้งตำแหน่งป้องกันของตนเอง พุ่งเข้ารับลูกทุ่มของ “เรย์ ” ก่อนที่จะหวดด้วยเท้าซ้ายอันทรงพลัง จากนั้นลูกบอลพุ่งเข้าเสียบเสาสองอย่างสวยงาม
1982
วันที่ 13 มีนาคม

“ลิเวอร์พูล” รับสองถ้วยจากการลงเตะเพียงนัดเดียว เมื่อสามารถเอาชนะ “ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ” ในช่วงต่อเวลาพิเศษคว้าแชมป์ลีกคัพ ณ สนามเวมบลีย์
“ลิเวอร์พูล” ซึ่งผ่าน “อิปสวิช” “บาร์นสลี่ย์ ” “เอกซ์เตอร์ ” “มิดเดิ้ลสโบรช์ ” และ “อาร์เซน่อล” ในรอบก่อนหน้า กลับมาจากการตามหลังในรอบชิงชนะเลิศจนคว้าชัยชนะ 3-1 และคว้ากลับบ้าน ทั้งถ้วยลีกคัพแบบเก่า และถ้วยใหม่ “มิลค์คัพ”
1982
วันที่ 15 พฤษภาคม – แชมป์ลีกสมัยที่ 13 สู่แอนฟิลด์อีกสมัย

การเปลี่ยนแปลงในช่วงกลางฤดูกาลทำให้ “ลิเวอร์พูล” มีผลงานอันโดดเด่นในครึ่งฤดูกาลหลัง จนสามารถคว้าแชมป์ลีกสมัยที่ 13 ได้สำเร็จ
ความสำเร็จดังกล่าวดูเหมือนไม่น่าจะเป็นไปได้ในช่่วงเปลี่ยนปี เนื่องจากทีมของ “บ๊อบ เพลสลี่ย์ ” ต้องเผชิญกับการเริ่มต้นอันน่าผิดหวัง ซึ่งร่วมถึงความพ่ายแพ้ต่อ “อิปสวิช” “วูล์ฟส์ ” และ “เซาแธมป์ตัน”
หลังจากนั้น “นายใหญ่แห่งลิเวอร์พูล” ได้ตัดสินใจอย่างกล้าหาญ โดยการแต่งตั้ง “แกรม ซูเนสส์ ” เป็นกัปตันทีมคนใหม่แทนที่กัปตันชุดแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพอย่าง “ฟิล ธอมป์สัน” ซึ่งการตัดสินใจนี้ได้ถูกพิสูจน์แล้วว่าถูกต้อง
1982
วันที่ 21 สิงหาคม

“บ็อบ เพสลี่ย์ ” และทีมงานคว้าแชมป์แชริตี้ชิลด์ สมัยที่ 9 ได้สำเร็จ ณ สนามเวมบลีย์ โดยได้ประตูจาก “เอียน รัช” ในการจัดการฝัง “ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ “
1983
วันที่ 26 มีนาคม

“ลิเวอร์พูล” พลิกกลับมาชนะ “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” 2-1 ต่อหน้าผู้ชม 100,000 คน ณ สนามเวมบลีย์ โดยมี “อลัน เคนเนดี้” และ “รอนนี่ วีแลน” เป็นผู้ทำประตู
และเพื่อเป็นการให้เกียรติต่อ “บ็อบ เพลสลี่ย์ ” ผู้เตรียมอำลาตำแหน่งในไม่ช้า กัปตัน “แกรม ซูเนสส์ ” จึงหลีกทางให้ “บุรุษผู้ยิ่งใหญ่” เป็นผู้ชูถ้วยเป็นคนแรก
1983
วันที่ 19 เมษายน

“ลิเวอร์พูล” คว้าแชมป์ลีกสมัยที่ 14 ส่งท้าย “บ๊อบ เพลสลี่ย์ ” อย่างงดงาม
“ลิเวอร์พูล” ป้องกันแชมป์ได้อีกสมัย เมื่อพวกเขาทำแต้มทิ้งห่างอันดับ 2 อย่าง “วัตฟอร์ด” ซึ่งเพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมาได้ถึง 11 คะแนน
ถ้วยใบสุดท้ายของ “เพลสลี่ย์ ” ซึ่งเตรียมอำลาตำแหน่งในช่วงฤดูร้อน แต่ “ลิเวอร์พูล” คว้ามันมาได้ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม อันเกิดจากฟอร์มอันร้อนแรงอย่างต่อเนื่องในช่วงโค้งสุดท้าย โดยการชนะ 19 เกม และเสมอเพียง 4 เกม จากทั้งหมด 24 เกมด้วยกัน
1984
วันที่ 28 มีนาคม

แชมป์ลีกคัพสมัยที่ 4 ติดต่อกันของ “ลิเวอร์พูล” และเป็น “เมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้” ในรอบชิงชนะเลิศครั้งแรกในประวัติศาสตร์ โดย “ลิเวอร์พูล” เอาชนะ “เอฟเวอร์ตัน” ในเกมที่สองที่สนามเมนโร้ดของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ หลังจากเสมอกันแบบไม่มีประตูที่สนามเวมบลีย์ ซึ่ง “แกรม ซูเนสส์ ” ทำประตูตัดสินเกมตั้งแต่นาทีที่ 21 คว้าแชมป์แรกให้กับ “โจ เฟแกน” ผู้จัดการทีมคนใหม่
1984
วันที่ 12 พฤษภาคม

“โจ เฟแกน” นำ “ลิเวอร์พูล” คว้าแชมป์ลีกได้สำเร็จตั้งแต่ฤดูกาลแรกที่เขาเข้ารับตำแหน่ง โดยผลเสมอกับ “น็อตส์ เคาน์ตี้” และ “นอริช ซิตี้” ก็เพียงพอที่จะการันแชมป์ลีกสมัยที่ 15 ให้แก่ “ลิเวอร์พูล”
1984
วันที่ 30 พฤษภาคม – “เคนเนดี้” ฮีโร่แห่งกรุงโรม

“อลัน เคนเนดี้” กลายเป็นฮีโร่อันน่าเหลือเชื่อของ “ลิเวอร์พูล” อีกครั้งหนึ่ง เมื่อทีมของ “โจ เฟแกน” คว้าแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพสมัยที่ 4 ได้สำเร็จ เมื่อเฉือนชนะ “เอเอส โรม่า” ในการดวลลูกจุดโทษ หลังจากเสมอกันในเวลา 1-1
ยอดฟูลแบ็คของ “ลิเวอร์พูล” แบกความกดดันอันมหาศาล บรรจงซัดจุดโทษลูกตัดสินเกมเข้าไป โดย “ขาสปาเก็ตตี้” ของ “บรู๊ซ กล็อบเบลาร์ ” ช่วยสกัดลูกยิงของ “ฟรานเชสโก้ แกรซิอานี่” ไปชนคานไว้ได้
1985
วันที่ 29 พฤษภาคม

โศกนาฏกรรม เมื่อ “ลิเวอร์พูล” พบ “ยูเวนตุส” ในยูโรเปี้ยนคัพรองชิงชนะเลิศ ณ เฮย์เซล สเตเดี้ยม ในกรุงบรัสเซลส์ โดยมีผู้เสียชีวิต 39 ราย ส่วนใหญ่เป็นแฟนบอลของยูเวนตุส และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกหลายร้อยคน
เป็นวันหนึ่งแห่งการรำลึกถึงของสโมสร “ลิเวอร์พูล” “ยูเวนตุส” และวงการฟุตบอลทั่วโลก
1986
วันที่ 10 พฤษภาคม – ดับเบิ้ลแชมป์ของ “ลิเวอร์พูล” ภายใต้ “เคนนี่ เดลกลิช”

ภายใต้การคุมทีมของผู้เล่นผู้จัดการทีมอย่าง “เคนนี่ เดลกลิช” “ลิเวอร์พูล” เฉือนแชมป์เก่าอย่าง “เอฟเวอร์ตัน” คว้าแชมป์ลีกสมัยที่ 16 และเอฟเอคัพสมัยที่ 3 ได้สำเร็จ และเป็นดับเบิ้่ลแชมป์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรลิเวอร์พูลอีกด้วย
“ลิเวอร์พูล” คว้าแชมป์ลีก ต้องขอบคุณประตูของ “คิง เคนนี่” ที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ ในวันที่ 3 พฤษภาคม และจากนั้น “ลิเวอร์พูล” ยังสามารถเอาชนะคู่ปรับแห่งเมอร์ซี่ย์ไซด์อย่าง “เอฟเวอร์ตัน” ไป 3-1 ที่สนามเวมบลีย์ในอีก 7 วันถัดมา โดยมี “เอียน รัช” เป็นผู้ซัดประตูชัย
1986
วันที่ 16 สิงหาคม

“เอียน รัช” ซัดประตูตีเสมอท้ายเกมสุดดราม่า ใน “เมอร์ซี่ย์ไซด์ แชริตี้ชิลด์ ” ที่สนามเวมบลีย์
1988
วันที่ 23 เมษายน

“ลิเวอร์พูล” โฉมใหม่ของ “เคนนี่ เดลกลิช” คว้าแชมป์ลีกสมัยที่ 17 ด้วยฟุตบอลที่เน้นเกมบุกอันเร้าใจที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาที่สนามแอนฟิลด์ ซึ่งบางคนกล่าวว่าทีมที่นำโดย “ปีเตอร์ เบียร์ดสลีย์ ” “จอห์น อัลดริดจ์ ” และ “จอห์น บาร์นส์ ” นี้เป็นชุดที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรเลยทีเดียว
1988
วันที่ 14 พฤษภาคม

เป็นความเจ็บปวดของ “จอห์น อัลดริดจ์ ” เมื่อ “ลิเวอร์พูล” พ่ายแพ้ในเอฟเอคัพนัดชิงชนะเลิศให้แก่ “เครซี่แก๊ง” “วิมเบิลดัน” ลูกจุดโทษในครึ่งหลังของยอดศูนย์หน้าถูกปฏิเสธโดย “เดวิด บีแซนท์ ” ซึ่งนำไปสู่ชัยชนะช็อคโลกของพวกเขา 1-0
1988
วันที่ 20 สิงหาคม

เพียง 3 เดือนหลังจากที่ลูกจุดโทษของเขาถูกเซฟในนัดชิงชนะเลิศเอฟเอคัพ “จอห์น อัลดริดจ์ ” พยายามดับฝันร้ายโดยการทำประตูที่สนามเวมบลีย์ ช่วยให้ “ลิเวอร์พูล” เอาชนะ “วิมเบิลดัน” คว้าแชมป์แชริตี้ชิลด์ได้สำเร็จ
1989
วันที่ 15 เมษายน

วันที่มืดมนที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร แฟนบอล “ลิเวอร์พูล” กว่า 25,000 คนเดินทางไปยังสนามฮิลส์โบโร่ เพื่อชมเกมเอฟเอคัพรอบรองชนะเลิศกับ “น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ” แต่มีแฟนบอล 96 ชีวิต ที่ไม่ได้กลับบ้านอีกเลย
1989
วันที่ 20 พฤษภาคม – “เอียน รัช” ซัดสองประตูพา “ลิเวอร์พูล” คว้าถ้วยเอฟเอคัพ

“ลิเวอร์พูล” ชูถ้วยเอฟเอคัพเป็นครั้งที่ 4 ในประวัติศาสตร์ของพวกเขา เป็นนัดชิงชนะเลิศ “เมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้” ที่สะเทือนอารมณ์เป็นอย่างมาก เนื่องจากเตะกันหลังจากโศกนาฏกรรมที่ฮิลส์โบโร่เพียง 5 สัปดาห์เท่านั้น ซึ่ง “ลิเวอร์พูล” เอาชนะ “เอฟเวอร์ตัน” ไปได้ 3-2 โดย “เอียน รัช” ทำไปคนเดียว 2 ประตู
1989
วันที่ 26 พฤษภาคม

“ไมเคิล โธมัส” ทำให้ “เดอะค็อป” ทั่วโลกต้องหัวใจสลาย โดยการทำประตูสุดท้ายที่สนามแอนฟิลด์ ทำให้ “อาร์เซน่อล” เอาชนะ “ลิเวอร์พูล” ไป 2-0 และนำตำแหน่งแชมป์กลับไฮบิวรี่ ด้วยผลต่างประตูได้เสีย!!!
1989
วันที่ 12 สิงหาคม

“ลิเวอร์พูล” หยุดความห้าวของ “อาร์เซน่อล” เมื่อพวกเขาเอาชนะทีมแชมป์ลีกของ “จอร์จ เกรแฮม” 1-0 ที่สนามเวมบลีย์ คว้าแชมป์แชริตี้ชิลด์ได้สำเร็จ
1990
วันที่ 28 เมษายน – “ลิเวอร์พูล” คว้าแชมป์ลีกสมัยที่ 18

“ลิเวอร์พูล” คว้าแชมป์ได้สำเร็จ ทั้งๆ ที่ยังเหลือเกมให้เล่นอีก 2 นัด เมื่อพวกเขาพลิกกลับมาเอาชนะ “ควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ส” ไป 2-1 จากประตูของ “เอียน รัช” และ “จอห์น บาร์นส์ “
1990
วันที่ 18 สิงหาคม

“ลิเวอร์พูล” ตามตีเสมอ “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” ครองแชมป์แชริตี้ชิลด์ร่วมกัน ณ สนามเวมบลีย์
1991
วันที่ 21 กุมภาพันธ์

“เคนนี่ เดลกลิช” ก้าวลงจากตำแหน่งผู้จัดการทีมของ “ลิเวอร์พูล” หลังจากทำหน้าที่เป็นเวลา 6 ปี “กุนซือชาวสก็อต” นำทัพลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ลีก 3 สมัย เอฟเอคัพ 2 สมัย ลีกคัพ 1 สมัย ซูเปอร์คัพ 1 สมัย และแชริตี้ชิลด์อีก 4 สมัย หลังจากสืบทอดตำแหน่งต่อจาก “โจ เฟแกน”
1992
วันที่ 9 พฤษภาคม – “ไมเคิล โธมัส” และ “เอียน รัช” ช่วยกันกระทุ้งประตูพา “ลิเวอร์พูล” ซิวแชมป์เอฟเอคัพสมัยที่ 5

“เอียน รัช” และ “ไมเคิล โธมัส” ทำประตูช่วยให้ “ลิเวอร์พูล” เอาชนะทีมจากดิวิชั่น 2 อย่าง “ซันเดอร์แลนด์ ” คว้าแชมป์เอฟเอคัพได้สำเร็จ ณ สนามเวมบลีย์
โดยประตูของ “เอียน รัช” ทำให้เขากลายเป็นผู้ทำประตูสูงสุดในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอคัพ โดยที่ยอดดาวยิงชาวเวลส์ทำได้ถึง 5 ประตูจาก 3 เกมเลยทีเดียว
1992
วันที่ 18 ตุลาคม

“เอียน รัช” ได้จารึกตัวเองลงในหน้าประวัติศาสตร์ของสโมสร “ลิเวอร์พูล” เมื่อเขาแซงหน้า “โรเจอร์ ฮันท์ ” กลายเป็นผู้ทำประตูสูงสุดตลอดกาลของสโมสร ด้วยประตูที่เขายิงใส่ “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” ที่สนามโอลด์แทรฟฟอร์ด
1994
วันที่ 30 เมษายน – ฉากสุดท้ายของ “เดอะ ค็อป”

เป็นวันสุดสะเทือนใจอีกวันหนึ่งของสโมสร “ลิเวอร์พูล” เมื่อแฟนบอลจำนวน 44,339 ในสนามแอนฟิลด์ เข้ามาร่วมอำลาอัฒจรรย์ “เดอะ ค็อป” เป็นครั้งสุดท้าย
“นอริช ซิตี้” บุกมาชนะไปได้ 1-0 ในวันดังกล่าว แต่ในความเป็นจริง แฟนบอลแทบไม่ได้ให้ความสนใจเหตุการณ์ในสนามหญ้าด้วยซ้ำ
1995
วันที่ 2 เมษายน

“สตีฟ แม็คมานามาน” เหมาสองประตูพา “ลิเวอร์พูล” สร้างสถิติคว้าแชมป์ลีกคัพเป็นสมัยที่ 5 โดยเฉือนเอาชนะ “โบลตัน วันเดอเรอร์ส 2-1 ที่สนามเวมบลีย์
1996
วันที่ 17 พฤษภาคม

“ไมเคิล โอเว่น” และ “เจมี่ คาร์ราเกอร์ ” ฉายแววความยิ่งใหญ่ของพวกเขาในฐานะส่วนหนึ่งของ “ลิเวอร์พูล” ชุดคว้าแชมป์เอฟเอยูธคัพครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร โดยเอาชนะ “เวสต์แฮม ยูไนเต็ด” ไปได้
1997
วันที่ 6 พฤษภาคม

“ไมเคิล โอเว่น” กลายเป็นผู้ทำประตูที่อายุน้อยที่สุดเท่าที่เคยมีมาของสโมสร โดยยิงได้ในเกมที่พบกับ “วิมเบิลดัน” ที่เซลเฮิสต์พาร์ค ด้วยอายุเพียง 17 ปี กับอีก 143 วัน
1998
วันที่ 16 กรกฎาคม

“เชราร์ อุลลิเย่ร์ ” เข้ามาร่วมงานในฐานะ “ผู้จัดการทีมร่วม” ซึ่งแรกทีเดียวเคียงคู่กับ “รอย อีแวนส์ ” โดยแคมเปญนี้มีอายุไม่ถึง 4 เดือน เมื่อ “อีแวนส์ ” ตัดสินใจก้าวลงจากตำแหน่ง ยุติความสัมพันธ์ที่ยาวนานถึง 35 ปี กับ “ลิเวอร์พูล”
2001
วันที่ 25 กุมภาพันธ์

“ลิเวอร์พูล” สามารถเอาตัวรอดในช่วงต่อเวลาพิเศษเอาชนะ “เบอร์มิ่งแฮม ซิตี้” ในการดวลลูกจุดโทษ ในลีกคัพรอบชิงชนะเลิศสุดมหากาพย์ และคว้าถ้วยแชมป์ใบแรกนับตั้งแต่ปี 1995
2001
วันที่ 12 พฤษภาคม – “ไมเคิล โอเว่น” ซัดสองประตูฝัง “อาร์เซน่อล”

“ไมเคิล โอเว่น” โชว์ฟอร์มอันสุดยอดในเอฟเอคัพนัดชิงชนะเลิศ โดยทำได้ 2 ประตู เอาชนะอาร์เซน่อลไปด้วยสกอร์ 2-1
ทีมของ “เชราร์ อุลลิเย่ร์ ” ตกเป็นรองเกือบตลอดทั้งเกม แต่สองประตูอันจากยอดศูนย์หน้าของพวกเขาก็สามารถตัดสินเกมในที่สุด
2001
วันที่ 16 พฤษภาคม

“ลิเวอร์พูล” จารึกชื่อของตัวเองลงในหน้าประวัติศาสตร์อีกครั้ง เมื่อคว้าแชมป์ที่ 3 ของฤดูกาล ในค่ำคืนอันน่าตื่นเต้นที่ดอร์ทมุนด์ เมื่อพวกเขาเอาชนะ “อลาเบส” คว้าแชมป์ยูฟ่าคัพได้สำเร็จ
รอบชิงชนะเลิศอันน่าจดจำนี้จบลงด้วยสกอร์ 5-4 หลังจากมีการต่อเวลาพิเศษ และสุดท้ายลูกทำเข้าประตูตัวเองของฝั่งตรงข้ามก็ตัดสินทุกอย่าง
2001
วันที่ 12 สิงหาคม

“ลิเวอร์พูล” เอาชนะคู่ปรับตัวฉกาจอย่าง “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” คว้าแชมป์แชริตี้ชิลด์ ณ มิลเลนเนี่ยม สเตเดี้ยม
2001
วันที่ 24 สิงหาคม

“ลิเวอร์พูล” กลายเป็นทีมจากอังกฤษทีมแรกที่คว้าแชมป์ได้ถึง 5 รายการ ภายในปีปฏิทินเดียวกัน เมื่อพวกเขาเอาชนะยักษ์ใหญ่แห่งเยอรมัน “บาเยิร์น มิวนิค” หยิบแชมป์ยูโรเปี้ยนซูเปอร์คัพไปครอง
2003
วันที่ 2 มีนาคม – ผลผลิตจากอคาเดมี่จัดการฝัง “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” ในคาร์ดิฟฟ์

ประตูจาก “สตีเว่น เจอร์ราร์ด” และ “ไมเคิล โอเว่น” ช่วยให้ “ลิเวอร์พูล” เอาชนะ “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” คว้าแชมป์ลีกคัพในคาร์ดิฟฟ์ ซึ่งเป็นถ้วยแชมป์ใบที่ 6 ของ “เชราร์ อุลลิเย่ร์ ” ในช่วงเวลาเพียง 3 ปี
2005
วันที่ 25 พฤษภาคม – มหัศจรรย์แห่งอิสตัลบูล!!!

ค่ำคืนอันน่าเหลือเชื่อที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์ของสโมสร “ลิเวอร์พูล” เป็นการคว้าถ้วยแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพใบที่ 5 เพิ่มเข้าไปในตู้โชว์ที่แอนฟิลด์
ลูกทีมของ “ราฟาเอล เบนิเตซ” ตามหลัง “เอซี มิลาน” ถึง 3-0 เมื่อจบครึ่งเวลาแรก แต่ในครึ่งเวลาหลัง พวกเขาออกมาสร้างปาฏิหารย์ตามตีเสมอได้สำเร็จ ก่อนที่จะเอาชนะไปด้วยการดวลลูกจุดโทษ
2005
วันที่ 26 สิงหาคม

“ลิเวอร์พูล” พลิกเอาชนะ “ซีเอสเคเอ มอสโคว์ ” ในช่วงต่อเวลาพิเศษ คว้าแชมป์ยูโรเปี้ยนซูเปอร์คัพที่โมนาโก
2006
วันที่ 21 เมษายน

เป็นเวลา 10 ปีมาแล้ว หลังจากแชมป์เอฟเอยูธคัพครั้งแรกของสโมสรลิเวอร์พูล ผลผลิตล่าสุดของสโมสรที่มีพรสวรรค์คว้าถ้วยใบนี้มาได้อีกครั้ง โดยครั้งนี้พวกเขาเอาชนะ “แมนเชสเตอร์ ซิตี้” มาได้
2006
วันที่ 13 พฤษภาคม

“ลิเวอร์พูล” เอาชนะ “เวสต์แฮม ยูไนเต็ด” คว้าแชมป์เอฟเอคัพสมัยที่ 7 ในเกมซึ่งถูกเรียกในเวลาต่อมาว่า “เดอะเจอร์ราร์ดไฟน่อล”
“กัปตันแห่งลิเวอร์พูล” ยิงประตูตีเสมอในนาทีสุดท้ายเข้าไปอย่างเหลือเชื่อ และ “ลิเวอร์พูล” ก็เอาชนะไปในการดวลลูกจุดโทษ หลังจากเสมอกันแบบสุดมันส์ในเวลา 3-3 ที่คาร์ดิฟฟ์
2006
วันที่ 13 สิงหาคม

“ลิเวอร์พูล” เอาชนะ “เชลซี” คว้าแชมป์คอมมูนิตี้ชิลด์ ที่สนามมิลเลนเนียมในคาร์ดิฟฟ์
2007
วันที่ 5 กุมภาพันธ์

“เดวิด มัวร์ ” ขายสโมสรลิเวอร์พูลให้แก่นักธุรกิจชาวอเมริกัน “ทอม ฮิคส์ ” และ “จอร์จ ยิลเลตต์ “
2007
วันที่ 26 เมษายน

นักเตะเยาวชนของ “ลิเวอร์พูล” ป้องกันแชมป์เอฟเอยูธคัพไว้ได้ โดยการเอาชนะ “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” ในการดวลลูกจุดโทษที่สนามโอลด์แทรฟฟอร์ด
2007
วันที่ 23 พฤษภาคม

ความเจ็บปวดของ “ชาวลิเวอร์พูล” ทั้งมวล เมื่อพวกเขาพ่ายแพ้แก่ “เอซี มิลาน” ในแชมเปี้ยนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศ ในกรุงเอเธนส์
2007
วันที่ 4 กรกฎาคม

“ลิเวอร์พูล” ทุบสถิติการย้ายทีมของพวกเขาเอง โดยการดึงตัวดาวเตะทีมชาติสเปน “เฟอร์นานโด ตอร์เรส” จาก “แอตเลติโก มาดริด”
2010
วันที่ 3 มิถุนายน

“ลิเวอร์พูล” แยกทางกับผู้จัดการทีม “ราฟาเอล เบนิเตซ” เป็นเวลา 6 ปี นับจากที่กุนซือชาวสเปนมาถึงแอนฟิลด์ โดย “เบนิเตซ” ได้ทิ้งข้อความไว้ว่า “ผมจะเก็บช่วงเวลาดีๆ ที่ผมได้รับจากที่นี่ไว้ในใจเสมอ รวมถึงการสนับสนุนอย่างเหนียวแน่นและจงรักภักดีจากแฟนบอล ในช่วงเวลาอันยากลำบาก และรวมถึงความรักจากสโมสรลิเวอร์พูล ผมไม่มีคำพูดที่ดีพอที่จะกล่าวขอบคุณสำหรับสิ่งทั้งหมดนี้ และผมรู้สึกภูมิใจมากที่จะกล่าวว่า ผมเคยเป็นผู้จัดการทีมที่นี่”
2010
วันที่ 1 กรกฎาคม

“รอย ฮ็อดจ์สัน” ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของ “ลิเวอร์พูล”
2010
วันที่ 15 ตุลาคม

New England Sports Ventures หรือ NESV ประกาศว่า พวกเขาได้เข้าซื้อสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลเป็นที่เรียบร้อย การเข้าซื้อของ NESV ซึ่งภายหลังรู้จักกันในชื่อ Fenway Sports Group ที่เป็นเจ้าของ “Boston Red Sox” “New England Sports Network” และ “Roush Fenway Racing” ได้บรรลุข้อตกลงในวันที่ 6 ตุลาคม
2011
วันที่ 8 มกราคม

“รอย ฮ็อดจ์สัน” อำลาสโมสร “ลิเวอร์พูล” โดยความยินยอมของทั้งสองฝ่าย โดยมี “เคนนี่ เดลกลิช” เข้ามาคุมทีมจนจบฤดูกาล
2011
วันที่ 12 พฤษภาคม

“Fenway Sports Group” และ “สโมสรลิเวอร์พูล” ยืนยันว่า “เคนนี่ เดลกลิช” ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการทีมเป็นการถาวร หลังจากบรรลุข้อตกลงสัญญา 3 ปี
2012
วันที่ 26 กุมภาพันธ์

“ลิเวอร์พูล” สิ้นสุด 6 ปีแห่งการรอคอยถ้วยแชมป์ ด้วยชัยชนะจากการดวลลูกจุดโทษสุดดราม่าเหนือ “คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้” ในลีกคัพรอบชิงชนะเลิศ ที่สนามเวมบลีย์
2012
วันที่ 16 พฤษภาคม

“ลิเวอร์พูล” แยกทางกับ “เคนนี่ เดลกลิช” หลังจากจบฤดูกาล 2011-12
2012
วันที่ 1 มิถุนายน

“เบรนแดน ร็อดเจอร์ส” กลายเป็นผู้จัดการทีมคนที่ 19 ของ “ลิเวอร์พูล” ผู้เข้ามารับตำแหน่งที่เก้าอี้กำลังร้อนฉ่า หลังจากเขามีผลงานอันน่าประทับใจกับ “สวอนซี ซิตี้”
2014
วันที่ 11 พฤษภาคม

แฟน “ลิเวอร์พูล” ต้องหัวใจสลายอีกครั้ง เมื่อพวกเขาโดน “แมนเชสเตอร์ ซิตี้” ปาดหน้าคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกไปครองแบบสุดเฉียดฉิว แม้ว่า “ลิเวอร์พูล” จะได้กลับไปเล่นในรายการยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกอีกครั้งก็ตาม
2015
วันที่ 4 ตุลาคม

“เบรนแดน ร็อดเจอร์ส” โดนปลดจากตำแหน่งผู้จัดการทีมของ “ลิเวอร์พูล” หลังจากทำหน้าที่เป็นเวลากว่า 3 ปี กุนซือชาวไอร์แลนด์เหนือเข้าร่วมงานกับ “ลิเวอร์พูล” ในเดือนมิถุนายน 2012 และทำทีมจนลุ้นตำแหน่งแชมป์อย่างน่าจดจำในปีที่ 2 ของเขา เช่นเดียวกับผลงานการพัฒนานักเตะเยาวชนอันน่าตื่นตาตื่นใจของเขา
2015
วันที่ 8 ตุลาคม – “เจอร์เก้น คล็อปป์” เข้ารับตำแหน่ง ณ ถิ่นแอนฟิลด์

สโมสรฟุตบอล “ลิเวอร์พูล” ประกาศว่า “เจอร์เก้น คล็อปป์” ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของสโมสร โดยกุนซือชาวเยอรมันมาถึงแอนฟิลด์พร้อมกับประวัติแห่งความสำเร็จที่ “โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ “
2016
วันที่ 18 พฤษภาคม

“ลิเวอร์พูล” แพ้ให้กับ “เซบีญ่า” จากสเปนในยูโรป้าลีกรอบชิงชนะเลิศ โดย “ลิเวอร์พูล” ต้องเจอกับของแข็งอย่าง “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” “โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ” และ “บียาร์เรอัล” ตลอดเส้นทางสู่รอบชิงชนะเลิศที่บาเซิล แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับขาใหญ่ของถ้วยใบนี้ ซึ่งนี่เป็นรอบชิงชนะเลิศที่ 2 ของ “เจอร์เก้น คล็อปป์” ในฐานะผู้จัดการทีม “ลิเวอร์พูล”
2016
วันที่ 10 กันยายน

“Main Stand” ใหม่เปิดตัวต้อนรับแฟนบอลอย่างเป็นทางการ ในนัดที่ “ลิเวอร์พูล” รับการมาเยือนของทีมแชมป์เก่าอย่าง “เลสเตอร์ ซิตี้” โดยความจุ 20,500 ที่นั่ง ทำให้มันเป็นหนึ่งในอัฒจรรย์ที่นั่งอย่างเดียวที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรปเลยทีเดียว
2016
วันที่ 29 พฤศจิกายน

“เบ็น วู้ดเบิร์น” ทำลายสถิติที่ยืนยาวถึง 19 ปี ของ “ไมเคิล โอเว่น” โดยการกลายเป็นผู้ทำประตูที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของ “ลิเวอร์พูล” ซึ่งเขาทำประตูที่ 2 ในเกมที่เอาชนะ “ลีดส์ ยูไนเต็ด” ด้วยอายุเพียง 17 ปี กับอีก 45 วัน
2017
วันที่ 3 มิถุนายน

สโมสรฟุตบอล “ลิเวอร์พูล” เฉลิมฉลองวันเกิดครบรอบ 125 ปี
2019
วันที่ 1 มิถุนายน

“ลิเวอร์พูล” คว้าแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพสมัยที่ 6 โดยการเอาชนะ “ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ” ในนัดชิงชนะเลิศที่กรุงมาดริด
2019
วันที่ 21 ธันวาคม

“ลิเวอร์พูล” คว้าแชมป์ฟุตบอลชิงเแชมป์สโมสรโลกได้สำเร็จเป็นครั้งแรก ในเดือนธันวาคม ปี 2019 โดย “ลิเวอร์พูล” เอาชนะ “มอนเตร์เรย์ ” ในรอบรองชนะเลิศ ก่อนจะคว่ำ “ฟลาเมงโก” 1-0 ในนัดชิงชนะเลิศที่ประเทศกาตาร์
2020
วันที่ 25 มิถุนายน

“ลิเวอร์พูล” คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรกของพวกเขา โดยพวกเขาได้แชมป์แน่นอนแล้วทั้งๆ ที่เหลือเกมให้เล่นอีกถึง 7 นัด!!!
a
คุณอาจสนใจ :
ตำนานสนามแอนฟิลด์
ทำเนียบแชมป์
ตำนานนักเตะลิเวอร์พูล
a
Our References :
5,013 total views, 3 views today